พาราสาวะถี
ในที่สุดก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นนักการเมืองแบบเต็มปากเต็มคำ หลังการประชุมครม.วันวาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวยืนยันว่า "วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลงเพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง” ก่อนที่จะวางมาดตามสไตล์ว่า ท้ายที่สุดคือประชาชนและไม่ใช่ประชาชนของตัวเอง แต่เป็นประชาชนของประเทศไทย และไม่ใช่ของพรรคไหน
อรชุน
ในที่สุดก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นนักการเมืองแบบเต็มปากเต็มคำ หลังการประชุมครม.วันวาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวยืนยันว่า “วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลงเพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง” ก่อนที่จะวางมาดตามสไตล์ว่า ท้ายที่สุดคือประชาชนและไม่ใช่ประชาชนของตัวเอง แต่เป็นประชาชนของประเทศไทย และไม่ใช่ของพรรคไหน
แต่เมื่อถูกต้อนถามจากนักข่าว ภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าบิ๊กตู่เป็นนักการเมืองเต็มตัวก็คือ การบอกว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นสักวันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไม่ต้องมาถามว่าจะเป็นนักการเมืองยาวๆ ไปเลยหรือไม่ ยังไม่ได้อยากเป็น แต่มันด้วยหน้าที่ความจำเป็น ชีวิตรับผิดชอบ ตนรับผิดชอบด้วยชีวิตของตน ทุกคนเป็นพลเมืองไทยต้องหนุนการเมืองที่ถูกต้องมีธรรมาภิบาล
ที่เหนือชั้นกว่านักการเมืองทั่วไปคือ สถานะที่ยังไม่มีพรรคการเมืองสังกัด แต่มีความพร้อมที่จะมีพรรคการเมืองมาสนับสนุนให้นักการเมืองคนนี้กลับมาเป็นนายกฯอีกสมัย แม้ไม่ป่าวประกาศแต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่สัมผัสกันได้ว่ามีพรรคการเมืองชูคอสลอนพร้อมจะผลักดันนายกฯคนนอก เพียงแต่วันนี้แค่รอการกดปุ่มให้ทำกิจกรรมและเตรียมความพร้อมสู่สนามเลือกตั้งเท่านั้น
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักการเมืองที่ได้เปรียบนักการเมืองโดยอาชีพคือ การพูดบนอำนาจที่มีอยู่เต็มมือ เมื่อกล่าวถึงประชาชนในความหมายของพรรคการเมือง ท่านผู้นำก็ยัดเยียดว่าเป็นประชาชนของพรรคไหน หากเป็นก็ให้พรรคไปตรวจสอบสมาชิกพรรคมีเหลือเท่าไหร่ให้ถูกต้อง พร้อมกับตอกลิ่มการไม่ปลดล็อคของคสช.อย่างเนียนๆ ว่าภาระเหล่านั้นเป็นของพรรคไม่ใช่ภาระของประเทศ ดังนั้น ทุกพรรคก็ต้องไปทำให้ถูกต้อง และบอกว่าสังคมก็รอดูอยู่เหมือนกัน
มันจะมาสะดุดก็ตรงสังคมที่ท่านว่านั่นแหละ เพราะวันนี้หากถามสังคมโดยส่วนใหญ่น่าจะอยากเห็นการปลดล็อคเพื่อให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมมากกว่า โดยไม่กังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งหรือแรงกระเพื่อมใดๆ อันนำไปสู่การสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลคสช. ก็อย่างที่รู้กันมาอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือ พร้อมกฎหมายสารพัด ทำไมต้องหวั่นเกรงพรรคการเมืองแค่หยิบมือ
ส่วนเหตุผลที่คนอยากให้ปลดล็อค คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก สถานการณ์เศรษฐกิจที่คนส่วนใหญ่ยังคงลำบาก จึงอยากจะเห็นการผ่อนคลายสถานการณ์ในบางเรื่อง ด้วยหวังว่าจะทำให้ต่างประเทศลดแรงกดดัน และหันมาเชื่อมั่นต่อกระบวนการคืนประชาธิปไตยของรัฐบาลคสช. อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่มีแต่ตัวเลขบนหน้ากระดาษอย่างที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อยอมรับว่าตัวเองเป็นนักการเมืองแม้จะถืออำนาจพิเศษอันเด็ดขาดอยู่ บิ๊กตู่ก็ควรจะต้องยอมรับกระบวนการตรวจสอบไม่ว่าจะโดยตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตาม ไม่ใช่การข่มขู่หรือตะคอกเตือนดังๆ ว่า “เรื่องหมาพันธุ์บางแก้วอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่” เพราะความเป็นจริงการไปยื่นร้องต่อป.ป.ช.ของ ศรีสุวรรณ จรรยา ต่อกรณีดังกล่าวก็เพื่อให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจนและมีบรรทัดฐาน
เป็นบรรทัดฐานอันเนื่องมาจากกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ท่านผู้นำย้ำนักย้ำหนาว่าคนไทยทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีละเว้น ดังนั้น การที่ศรีสุวรรณไปยื่นเรื่องร้องเรียนเพราะเห็นว่าการซื้อหมาพันธุ์บางแก้วในราคา 25,000 บาท โดยคนขายคิดราคาตัวละ 6,000 บาท แล้วท่านผู้นำยกให้เป็นของขวัญแก่ “พี่รอง”พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และ “เพื่อนรัก” พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ นั้น มันมีราคาเกิน 3 พันบาท
พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการกระทำอันเข้าข่ายความผิดรับประโยชน์หรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท ตามกฎหมายและประกาศของป.ป.ช. ดังนั้น แทนที่จะตีโพยตีพายหรือบอกใครอยากได้หมาให้มาซื้อต่อ ท่านผู้นำควรจะนิ่งแล้วปล่อยให้ทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการ ฟังจากทางด้านของป.ป.ช.กรณีนี้ก็ไม่น่าจะสร้างความเสียหายหรือเอาผิดใครได้
เพราะ สุทธิ บุญมี ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานป.ป.ช. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จะตรวจสอบเอกสารและพยานหลักฐานที่ยื่นมาตามขั้นตอนกรอบเวลาและดูกฎหมาย หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สิน ซึ่งเรื่องนี้เข้าข่ายผิดกฎหมายที่ห้ามรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท แต่กฎหมายปัจจุบันไม่ได้เอาผิดผู้ให้ซึ่งก็หมายถึงบิ๊กตู่นั่นเอง เช่นนี้ก็แปรว่ารอดไปหนึ่งรายแล้ว
ขณะเดียวกันในส่วนของผู้รับต้องไปดูหลักเกณฑ์ในประกาศข้อ 7 ของป.ป.ช.ที่สุทธิอธิบายว่า เรื่องการรับโดยไม่สามารถปฏิเสธได้เพื่อมิตรภาพไมตรีจิต หรือถ้าได้แสดงความไม่อยากรับของแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องรับไม่ให้เสียน้ำใจ สามารถทำเรื่องแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาหรือส่งคืน โดยรัฐมนตรีทั้งสองคนสามารถทำเรื่องแจ้งหน่วยงานในการส่งคืน เมื่อไม่สมควรก็สามารถส่งคืนได้ และดูถึงระยะเวลาครอบครองว่านานหรือไม่อย่างไร
ตีความตามท้องเรื่องของคำพูดของป.ป.ช.เช่นนี้ ถ้าเป็นอย่างที่ท่านผู้นำว่าหมาที่ซื้อยังไม่ได้รับหรือแม้กระทั่งบิ๊กป๊อกและบิ๊กฉัตรบอกว่าไม่ได้รับ ถ้ารับก็จะส่งคืน ก็ยังมองไม่เห็นว่าบิ๊กตู่จะต้องไปกังวลหรือโวยวายด้วยเหตุใด จุดนี้นี่แหละที่เป็นบทพิสูจน์ถึงการยอมรับว่าเป็นนักการเมืองแต่ยังติดนิสัยทหาร เพราะไม่ชอบให้ใครมาจับผิดหรือหาเรื่องให้ต้องมีความผิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น การโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของ วัฒนา เมืองสุข อธิบายถึงลักษณะของบิ๊กตู่จึงน่าจะฉายภาพชัดพอสมควร โดยเสี่ยไก่บอกว่า เพราะความเป็นทหารที่เคยสั่งลูกน้องหันซ้ายหรือขวาได้ จึงอาจเข้าใจว่าประชาชนเหมือนพลทหาร ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ประชาชนเป็นนายไม่ใช่ลูกน้อง จึงไม่มีทางที่จะใช้คำสั่งหรือปกครองด้วยอาวุธแบบที่ใช้กับทหารได้
แม้จะเป็นการพูดถึงเรื่องเลือกตั้ง แต่สิ่งที่วัฒนาเตือนว่า อย่าได้คิดว่าประชาชนจะยอมให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก รีบยกเลิกคำสั่งที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพ เพื่อให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมเตรียมตัวเลือกตั้ง อย่าปัดความรับผิดชอบหรือโยนบาปให้ประชาชน ในอดีตนายทหารยศพลเอกหลายคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดเพราะประเมินประชาชนต่ำ จึงเตือนด้วยความหวังดีอีกครั้งว่า อย่าดูแคลนประชาชน จำไว้ให้ขึ้นใจ ไม่รู้ว่าท่านผู้นำจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะดูแล้วท่านเป็นนักการเมืองที่ไม่น่าจะเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน