CPT วิ่ง 3% “บล.ดีบีเอสฯ” เคาะเป้าสนั่น 2.57 บาท รับพื้นฐานแน่น-ปันผลสูง
CPT วิ่ง 3% “บล.ดีบีเอสฯ” เคาะเป้าสนั่น 2.57 บาท รับพื้นฐานแน่น-ปันผลสูง ล่าสุด ณ เวลา 10.16 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.24 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.75% สูงสุด 2.28 บาท ต่ำสุด 2.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.43 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT ล่าสุด ณ เวลา 10.16 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.24 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.75% สูงสุด 2.28 บาท ต่ำสุด 2.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.43 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.46%
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” CPT ราคาเป้าหมาย 2.57 บาท/หุ้น โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักงวดปี 60 และปี 61 เป็น 24%/10% ตามลำดับ คือ 140 และ 154 ล้านบาท แม้ว่ารายได้หลักรวมปี 60 เพิ่มขึ้นไม่มากนักเป็น 4% เป็น 1,273 ล้านบาท
ขณะที่จากปีก่อนเป็น 1,227 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นรวมเพิ่มขึ้นดีเป็น 28% เทียบจากปีก่อนที่ 24% ปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราการเติบโตกำไรสูงกว่ารายได้ เพราะปี 60 มีรายได้ในส่วนการขายเป็นสัดส่วนที่มากกว่าเทียบกับรายได้รับเหมา-ติดตั้งซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 28% และ 24% ตามลำดับ ด้านปี 61 คาดว่าอัตราการเติบโตรายได้สูงขึ้นเป็น 10% เนื่องจากจะมีโรงงานใหม่ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ส.ค.61 และดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/61 นี้ และผลิตตู้ควบคุมไฟฟ้าเกรดพรีเมี่ยม สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมได้มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังให้อัตรากำไรที่สูงด้วย
สำหรับจุดเด่นของหลักทรัพย์นี้คาดว่าเป็นเรื่องเงินปันผลที่จะจ่ายของงวดปี 60 ที่มากเป็นพิเศษ โดยยังไม่มีการจ่ายระหว่างกาล แม้นโยบายปันผลคือ ไม่น้อยกว่า 40% แต่บริษัทให้แนวทางว่าปีนี้คาดว่าจะจ่ายเกือบ 100% เพราะมีเงินสดจาการดำเนินงานเพียงพอต่อการดำเนินงานได้ในอนาคต อีกทั้งบริษัทยังได้ระดมเงินทุนจาก IPO มาที่ 621 ล้านบาท จึงคาดว่าหากใช้อัตราการจ่ายปันผลที่ 80%-100% เงินปันผลงวดปี 60 เป็น 0.12-0.16 บาท ตามลำดับคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (yield) ที่สูงมากเป็น 5.7%-7.1% ตามลำดับ และคิดเป็นเม็ดเงินปันผล 112-140 ล้านบาท
นอกจากนี้เห็นว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะจ่ายปันผลได้มากในงวดปี 60 เนื่องจากมีแผนใช้เงินลงทุนขณะนี้รวมเป็น 270 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) เพื่อซื้อที่ดิน ก่อสร้างโรงงานใหม่และซื้อเครื่องจักร 200 ล้านบาท และ 2) เพื่อขยายตลาดไปต่างประเทศ 70 ล้านบาท ขณะที่คาดว่า ณ สิ้นปี 60 บริษัทจะมีกำไรสะสมอยู่ที่ 230 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีฐานะการเงินที่ดีมาก เป็นเงินสดสุทธิ (net cash position) คือมีเงินสดมากกว่าเงินกู้ (ณ สิ้นงวด ไตรมาส 3/60 มีเงินกู้เพียง 36 ล้านบาท แต่มีเงินสดถึง 107 ล้านบาท)
ขณะที่บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ที่สูง ณ สิ้น ไตรมาส 3/60 มีงานที่รอส่งมอบในงวดไตรมาส 4/60 ที่ 440 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 86% จากประมาณการรายได้งวดไตรมาส 4/60 และในงวดสิ้นปี 60 Backlog เป็น 500 ล้านบาท ที่จะส่งมอบในปี 61 คิดเป็นสัดส่วน 36% จากประมาณการรายได้งวดปี 61 แล้ว สำหรับปี 61 นี้ เตรียมเข้าประมูลงานอีก 2.5 พันล้านบาท ประกอบด้วยงานโรงงานน้ำตาลที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมและฐานลูกค้าใหม่คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งจะเข้าประมูลงานติดตั้งและปรับปรุงระบบตู้ควบคุมไฟฟ้าในสถานีย่อย ทั้งนี้บริษัทคาดหวังว่าจะได้งานราว 60-70%
สำหรับโครงการในอนาคตคือ 1) เตรียมจัดตั้งสำนักงานขายในต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เพื่อรองรับการขยายช่องทางไปยังต่างประเทศตามการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยมั่นใจว่าภายใน 3-5ปีข้างหน้า บริษัทจะมีรายได้จากต่างประเทศราว 500 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 100 ล้านบาท และ 2) จากแผนการนำสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ระยะทาง 1.2 พันกิโลเมตรโดยใช้งบลงทุนราว 1 ล้านล้านบาท บริษัทได้เตรียมซื้อ Know How จากเดนมาร์กและจะเป็นอีก 1 ผู้เล่นเข้ามาทำตลาด จากเดิมที่มีผู้เล่นอยู่เพียง 2 รายได้แก่ รูซี่และชไนเดอร์ ซึ่งบริษัทมีความได้เปรียบจากประสบการณ์ที่เคยทำงานและจำหน่ายสินค้าในประเทศ
ทั้งนี้แนะนำ ซื้อ นอกจากปัจจัยบวกข้างต้น คาดว่าในปี 62 และ 63 รายได้จะเติบโตสูงเมื่อสามารถใช้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการผลิตเต็มปี โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 ไว้ถึง 3 พันล้านบาท คิดเป็นประมาณเท่าตัวจากปี 61
นอกจากนี้จะเข้าไปประมูลการขายสินค้าให้กับโครงการ SPP และโครงการบริหารจัดการน้ำด้วย ในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นพบว่า ขณะนี้ซื้อขายที่ P/E ปี 61 ที่ 12.7 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ 19.0 เท่า หากกำหนด Forward P/E ที่ 15 เท่า จะได้ราคาพื้นฐานที่ 2.57 บาท ยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 18% และรับปันผลที่สูงเป็นพิเศษสำหรับงวดปี 60 ด้านปัจจัยลบคือ สภาพคล่องการซื้อขายหุ้น (Free Float) ไม่สูงนักเป็น 28.1%