ตามดูฟอร์ม 5 หุ้นตัวท็อปปี 60 แจกรีเทิร์นเกินเท่าตัว!

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” สำรวจราคาหุ้น 5 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ทำผลงานปี 60 ได้ยอดเยี่ยม แจกรีเทิร์นเกินเท่าตัว ฟากผลประกอบการในอนาคตยังมีแนวโน้มสดใส


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในรอบ 1 ปี โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59- 29 ธ.ค.60 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเกิน 90% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้มีผลตอบแทนโดดเด่นและมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน  โดยคัดเลือกจากบจ.ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 5 ตัว ด้วยกันคือ SKY, GCAP, NETBAY, SPVI และ PICO

 

อันดับที่ 1 บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY  โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 438% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 3.34 บาท (30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 18 บาท (29 ธ.ค.60)

ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา คาดว่าเป็นผลมาจากข่าว SKY เซ็นงานใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 903 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานเน็ตชายขอบ 469 ล้านบาท และงาน CCTV สนามสุวรรณภูมิ 434 ล้านบาท อีกทั้งยังรอรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ได้ทันที

ด้าน นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKY เปิดเผยว่า บริษัทได้รับหนังสือยืนยันตกลงจ้างและให้ไปลงนามในสัญญาจากบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT มูลค่างานรวมภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งสิ้น 469 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ทันที

อีกทั้งบริษัทยังได้รับหนังสือยืนยันตกลงจ้างและให้ไปลงนามในสัญญาจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เพื่อรับงานติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่าประมาณ 434 ล้านบาท

ดังนั้นบริษัทจึงมั่นใจภาพรวมผลประกอบการในปี 2560 จะมีรายได้เติบโต 70% ตามแผน จากปี 2559 มีรายได้ 316 ล้านบาท โดยบริษัทยังมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากงานที่ไม่ได้เข้าร่วมประมูลเอง มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท เช่น งานระบบฮาร์ดแวร์ และกล้อง CCTV และโครงการอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนผลประกอบการเพิ่มเติม

อันดับที่ 2 บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 148% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 2.86 บาท (30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 7.10 บาท (29 ธ.ค.60)

ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2561 จะเติบโตก้าวกระโดด

ด้าน บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า GCAP (ซื้อ/มูลค่าเหมาะสม 9.6 บาท) แม้ปรับประมาณการกำไรปี60 ลงเพื่อสอดคล้องกับการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทที่ประเมินต่ำไว้กว่าคาด แต่ปี 61 ยังคงประมาณกำไรเดิมจากภาพรวมสินเชื่อ GCAP คาดเติบโตก้าวกระโดด

โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาได้แก่ 3 ปีแรก (60-62) คาดโตเฉลี่ย 47.6% ต่อปี ภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 60 จะมีกำไรสุทธิ 44 ล้านบาท (+7.1%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และโตเด่นต่อ 128% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปี 62

อันดับที่ 3 บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 131% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 17.50 บาท (30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 40.50 บาท (29 ธ.ค.60)

ด้าน บล. ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่า รายได้ NETBAY ปี 61 เติบโต 10-20% โดยปัจจัยยังคงมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆในธุรกิจเดิมและการเริ่มรับรู้รายได้การให้บริการ e-DLT Gateway (Department of Land Transport) หลังจากเริ่มทดสอบการเปิดให้บริการชำระภาษีรถยนต์ทางอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/60 กับกลุ่มลูกค้าองค์กรที่เป็นผู้ให้สินเชื่อไปแล้ว ขณะที่ตลาดรถยนต์มีกว่า 30 ล้านคันและจดทะเบียนใหม่ปีละกว่า 5 แสนคัน (มากกว่า 50% ใช้บริการสินเชื่อ)

ขณะที่ รายได้ 9 เดือนแรกของปี 60 อยู่ที่ 229 ล้านบาท เติบโต 13.3% จากธุรกิจหลักที่เป็น recurring income จากการรักษาฐานลูกค้าเก่าและสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในกลุ่มบริการ e-Business และ e-Trade Finance Supply Chain ซึ่งเป็นรายได้หลักกว่า 95% ได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 60 อยู่ที่ 84 ล้านบาท เติบโต 26% สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากต้นทุนในการดำเนินงานที่คงที่ที่ 92 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน) ส่งผลให้มีมี EBIT Margin และ NPM เพิ่มขึ้นเป็น 36.8% และ 36.8% ตามลำดับ จาก 33.8% และ 33.1% ในงวด 9 เดือนแรกของปี 58

นอกจากนี้ยังมีโอกาสต่อยอด e-DLT สู่ตลาด B2C ในอนาคต เนื่องจากสามารถใช้ Platform เดียวกันได้ แต่ผู้บริหารมองว่ายังไม่ถึงเวลาเนื่องจาก operating expense จะเพิ่มขึ้นและควบคุมลำบาก

ทั้งนี้อยู่ระหว่างทบทวนประมารการเนื่องจากผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 60 ของ NETBAY ดีกว่าที่เคยประเมินไว้มาก อย่างไรก็ดีราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 127% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทำให้ปัจจุบันซื้อขายบน Trailing PER ที่ 75 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งในแง่ของศักยภาพบริษัทและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอุตสาหกรรมไปมากแล้วเช่นกัน

อันดับที่ 4 บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 123% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.80 บาท (30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 1.79 บาท (29 ธ.ค.60)

ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2560 จะเติบโตก้าวกระโดด จากการขาย Iphone รุ่นใหม่ๆ ทำให้กำไรเติบโต

อันดับที่ 5 บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ PICO โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 94% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 3.56 บาท (30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 6.90 บาท (29 ธ.ค.60)

ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2560 (สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2560) ออกมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 44.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.62 ล้านบาท

 

อนึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเกินเท่าตัวนั้น หากจะเข้าลงทุนจะต้องอาศัยข้อมูลประกอบ อาทิ แนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ,ค่า P/E ,ค่า P/BV (Price/Book Value)

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button