เปิดโผ 5 หุ้น mai ปี 60 นักลงทุนเจ๊งหนัก! TSF เดี้ยงสุดทรุดเกิน70%
เปิดโผ 5 หุ้น mai ปี 60 นักลงทุนเจ๊งหนัก! TSF เดี้ยงสุดทรุดเกิน70%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-29 ธ.ค.60 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนลดลงเกิน 50% เป็นหลัก โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวได้คัดเลือกเพียง 5 ตัว คือ TSF,EFORL,KOOL,IRCP และ DCORP ตามตารางมาประกอบดังนี้
อันดับ 1 บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSF ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา คำแนะนำ และวางแผนด้านการประชาสัมพันธ์รวมทั้งงานด้านสื่อโฆษณาทุกชนิด ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 76.92% มาอยู่ที่ระดับ 0.09 บาท (29 ธ.ค.60) ลบ 0.30 บาท จากระดับ 0.39 บาท (30 ธ.ค. 59) โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 1 ปีที่ผ่าน เนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกและง่ายต่อการดันราคา ดังนั้นเวลาที่หุ้นขึ้นแรงก็ย่อมมีแรงเทขายออกมาหนักเช่นกัน
ขณะเดียวกันหุ้นรายนี้ไม่มีพื้นฐานรองรับเนื่องจากบริษัทประสบผลขาดทุนนับตั้งแต่ปี 56 จนปัจจุบันทำให้การปรับตัวแรงในช่วงที่ผ่านมา จะถูกประกาศจากตลาดหลักทรัพย์(ตลท.)ให้เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : Cash Balance
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าจับตาว่าธุรกิจจะพลิกฟื้นได้หรือไม่ โดยบริษัทเตรียมขยายการลงทุนพัฒนาสื่อโฆษณารูปแบบใหม่ป้ายโฆษณาบริเวณรอบตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่วประเทศ เป็นตู้โทรศัพท์สาธารณะนวัตกรรมใหม่ที่ได้สัมปทานจาก บมจ.ทีโอที (ทีโอที) ร่วมกับ บริษัท จี.ไอ.เอส พาร์ค
โดยจะเริ่มในปี 61 และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณกว่า 60 ล้านบาทต่อปีใน 100 จุดแรก และสามารถขายได้ถึง 900 จุด เพื่อเตรียมรองรับสัญญาโฆษณากรุงเทพมหานครที่จะสิ้นสุดในปี 61
อันดับ 2 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 74.07% มาอยู่ที่ระดับ 0.07 บาท (29 ธ.ค.60) ลบ 0.20 บาท จากระดับ 0.27 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 1 ปีที่ผ่าน เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้าและได้ทยอยขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง หลังหุ้นไม่มีปัจจัยมาสนับสนุนและผลประกอบการและแผนธุรกิจที่ยังไม่สดใส
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอความชัดเจนประเด็น บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ถูกฟ้องร้องเป็นคดี กรณีผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินจนเป็นเหตุให้บริษัทถูกฟ้องร้องในฐานะผู้ค้ำประกัน
โดยบริษัทได้รับคำฟ้องของ บลจ.โซลาริส และหมายเรียกของศาลจังหวัดตลิ่งชัน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 329/2560 ระหว่างบลจ.โซลาริส โจทก์ บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด จำเลยที่ 1, บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม จำเลยที่ 2 ในข้อหาหรือฐานความผิด ตั๋วเงิน (ตั๋วแลกเงิน), รับสภาพหนี้, ค้ำประกัน, ค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้อง 107,677,739.73 บาท โดยนัดชี้สองสถานและกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 15 ม.ค.2561
อันดับ 3 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “MASTERKOOL” และ “Cooltop” นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงออกแบบและติดตั้งระบบระบายความร้อน และระบบโอโซน
โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 58.91% มาอยู่ที่ระดับ 2.26 บาท (29 ธ.ค.60) ลบ 3.24 บาท จากระดับ 5.50 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 1 ปีที่ผ่าน เนื่องจากนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรผลประกอบการและแผนงานที่โดดเด่น แต่เมื่อบริษัทประกาศผลการดำเนินงานไม่สดใสทำให้นักลงทุนผิดหวังและเทขายหุ้นอย่างหนัก โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2560 พลิกขาดทุน 44.93 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 97.79 ล้านบาท
นอกจากนี้แผนงานบริษัทยังไม่สดใส โดยบริษัทรายได้ปี 60 คาดจะทำได้ต่ำกว่าระดับ 889 ล้านบาทในปีก่อน หลังจากช่วงครึ่งปีแรกยอดขายปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากอากาศที่ไม่ร้อนเหมือนปีก่อน และคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็น 10 ราย จากเดิมมีเพียง 4 ราย ส่งผลให้ยอดขายชะลอตัวลง ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ
บริษัทจะเน้นขยายตลาดของ บริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเน้นการบริหารลูกค้าองค์กรที่ต้องการการประหยัดพลังงาน ซึ่งบริษัทก็ถือว่ามีเทคโนโลยีรองรับ ทำให้เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาเสริมรายได้
นอกจากนี้ยังได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 61 ใหม่ โดยจะเน้นขยายสินค้าที่ไม่มีผลกับยอดขายแต่ละฤดูกาล ซึ่งบริษัทจะเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม (Innogreen) เข้ามาช่วยเสริมรายได้ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และเสริมกิจการของ บริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ให้มีสินค้าเข้าไปจำหน่ายมากขึ้น
อันดับ 4 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ประกอบธุรกิจด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 57.79% มาอยู่ที่ระดับ 1.68 บาท (29 ธ.ค.60) ลบ 2.30 บาท จากระดับ 3.98 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลการดำเนินงานในปี 59 ขาดทุน หลังจากที่เคยทำกำไรมาตลอด ขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2560มีผลขาดทุน 13.25 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 27.89 ล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้นักลงทุนผิดหวังและได้ทยอยขายหุ้นออกมาในช่วงดังกล่าว
อันดับ 5 บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DCORP บริษัทรับจัดหา ผลิต และ/หรือร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งให้บริการจัดการพลังงาน (Energy Saving Service)
โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 56.74% มาอยู่ที่ระดับ 3.82 บาท (29 ธ.ค.60) ลบ 5.38 บาท จากระดับ 9.20 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังเรื่องแผนงานที่โดดเด่น และคาดหวังผลการดำเนินงานจะกลับมาทำกำไร แต่หลังจากแผนงานไม่เป็นไปตามเป้า
อีกทั้งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2560 มีผลขาดทุนสุทธิ 92.17 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 0.12 ล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้นักลงทุนผิดหวังและได้ทยอยขายหุ้นออกมาในช่วงดังกล่าว
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน