ส่อง 6 หุ้นเด่น โบรกฯเพิ่มน้ำหนักลงทุน ลุ้นประกาศงบฯปี60แจ่ม-รับผลดีนักท่องเที่ยวทะลัก

ส่อง 6 หุ้นเด่น โบรกฯ เพิ่มน้ำหนักลงทุน ลุ้นประกาศงบฯปี60แจ่ม-รับผลดีนักท่องเที่ยวทะลัก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในปี 2560 ที่ผ่านมา หลังจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเดือนธันวาคม 2560 เพิ่มขึ้น 16% มาที่ 3.50 ล้านคน เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าบริษัทที่จะได้รับประโยชน์ดังกล่าวมีดังนี้ ERW, CENTEL, AOT, TKN, BEAUTY และ SPA

บริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด  ระบุในบทวิเคราะห์ (18 ม.ค.) ว่า ข้อมูลจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาระบุจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน ธ.ค. 60 อยู่ที่ 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 60 นักท่องเที่ยวจีนยังเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นสูงถึง 52% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียและรัสเซียยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยภาพรวมในปี 60 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 35.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนนักท่องเที่ยวรวมในปี 60 มากกว่าที่เราคาดการณ์ทั้งปีนี้ที่ 35.3 ล้านคน ทั้งนี้คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 61 จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 38 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight โดยชอบ ERW และ CENTEL ประกอบกับ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ AOT จากนักท่องเที่ยวที่เติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึง หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่าง TKN ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท, BEAUTY ราคาเป้าหมายที่ 25 บาท และ SPA

สำหรับ ERW บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ERW ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท โดยมองว่า ข้อมูลทางสถิติน่าสนใจรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ตั้งแต่ 1 ต.ค.-21 ธ.ค.60 แข็งแกร่งเป็น 6% (โดยไม่นับโรงแรม Hop Inn) โดยอัตราการเข้าเช่า (OR) สูงเป็น 82% ถือว่าเพิ่มขึ้น 5% ส่วนธุรกิจที่ดีคือ โรงแรมแบบประหยัด (economy segment) ถือว่ามีการเติบโตสูงสุด แม้มีการปิดซ่อมบางส่วนสำหรับ JW Marriott กรุงเทพที่เป็นโรงแรมหรูหราก็ตาม ด้าน Hop Inn ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 4% จากทั้งหมด อัตราการเข้าเช่า (OR) สูงเป็น 78% ถือว่าเพิ่มขึ้น 3% ตั้งแต่ 1 ต.ค.-21 ธ.ค.60 มีอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน คาดว่าในปี 63 สัดส่วนรายได้จาก Hop Inn จะเพิ่มขึ้นเป็น 16% จากทั้งหมด

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวไทยมีความสดใส จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาไทย ต.ค.และ พ.ย.เพิ่ม 20.9% เป็น 2.70 ล้านคน และ 23.2% เป็น 3 ล้านคน ตามลำดับ ประเทศที่มีการเติบโตสูงสุดคือ จีน 76% เกาหลี 26.5% และอินเดีย 24.6%

ทั้งนี้ได้มีการปรับประมาณการปีนี้และปี 62 เพิ่มขึ้นในอัตรา 4%/7% ตามลำดับ สะท้อนอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่จะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้เดิม ยังผลให้คาดการณ์กำไรหลักปีนี้เพิ่มได้ 18% จากปีก่อน ซึ่งมีแรงสนับสนุนมาจากการขยายจำนวนห้องโรงแรมและอัตราค่าห้องพัก (room rate) สำหรับในงวด 4Q60 ได้มีการเพิ่มจำนวนโรงแรม Hop Inn อีก 4 แห่ง ณ สิ้นปี 60 บริษัทมีจำนวนโรงแรมทั้งสิ้น 52 แห่งด้วยจำนวนกุญแจ 7,328 ห้อง

ทั้งนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาพื้นฐานใหม่ขึ้นเป็น 10.50 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF สะท้อนการปรับประมาณการดีขึ้น ราคาปิดกลับมามีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานถึง 22% ERW มีจุดเด่นคือ ทำแต่ธุรกิจโรงแรมในประเทศเพียงอย่างเดียว จึงได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวไทยอย่างเต็มที่ อีกทั้งครม.เพิ่งอนุมัติการลดหย่อนภาษีจากการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดคนละ 15,000 บาท ภายในปี 61 ขณะที่โรงแรม Hop Inn ตั้งอยู่ในเมืองรองหลายจังหวัด

 

ขณะที่ บล.เออีซี แนะนำ “HOLD” CENTEL ราคาเป้าหมาย 53 บาท/หุ้น โดยมองว่าช่วงไตรมาส 4/60 คาด CENTEL มีกำไรปกติ 476 ล้านบาท เติบโต 14.4% จากปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากรายได้รวมที่คาดโต 7% จากปีก่อน ซึ่งแบ่งแป็น 1) รายได้ในธุรกิจอาหารคาดโต 7-8% จากปีก่อน หลังบรรยากาศจับจ่ายที่กลับมาคึกคักและอานิสงส์จากมาตรการช็อปช่วยชาติครั้งนี้ที่ให้ระยะเวลานานกว่าปีก่อน ทำให้คาดมียอดขายสาขาเดิมโต 4-5% จากปีก่อน

อีกทั้งยังจะรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่คาดเพิ่มขึ้น 54 แห่งจากช่วงไตรมาส 4/59 เพื่อบรรลุเป้ามีสาขารวม 884 แห่งในปี 2560 และ 2) รายได้ในธุรกิจโรงแรมคาดโต 5-6%จากปีก่อน จากฐานปีก่อนที่ต่ำ บวกกับ ช่วงไตรมาส 4/60 โรงแรมในไทยโตดีมากตามภาวะอุตสาหกรรท่องเที่ยวไทยที่แข็งแกร่ง และ รร. เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทภูเก็ตไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเช่นปีก่อนที่ต้องปิดบริการ 3 สัปดาห์ในเดือนพ.ย. 59 จึงทำให้คาดรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) จะโตราว 8-9%YoY นอกจากนี้ยังคาดอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 39.2% ในช่วงไตรมาส 4/59 เป็น 40.9% จากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารหลังรายได้โตดีและการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ช่วง 4Q60 คาด CENTEL มีอัตรากำไรปกติเพิ่มขึ้นจาก 8.7% ในช่วงไตรมาส 4/59 เป็น 9.3% พร้อมหนุนให้ทั้งปี 2560 คาด CENTEL มีกำไรปกติ 2,026 ล้านบาท เติบโต 9.5%จากปีก่อน ตามประมาณการเดิมได้

สำหรับปี 2561 คาด CENTEL มีกำไรปกติ 2,179 ล้านบาท โตต่อ 7.6%จากปีก่อน ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนทั้งจาก รายได้ธุรกิจโรงแรมที่คาดโต 4% จากปีก่อน  หลังมีแผนปรับขึ้นค่าห้องพัก 3-4%จากปีก่อน และยังจะรับรู้รายได้เต็มปีจาก Cosi Samui (151 ห้อง) ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 60 และจากรายได้ธุรกิจอาหารที่คาดโต 5%YoY หลังมีแผนขยายสาขาร้านอาหารราว 60 แห่ง (ปัจจุบันมีแบรนด์ในเครือรวม 11 แบรนด์)

อีกทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทำให้คาดยอดขายสาขาเดิมปีนี้จะโตได้ 2-3%จากปีก่อน ขณะที่งบลงทุนปี 2561 ตั้งไว้ราว 4.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น 3.5 พันล้านบาทใช้ในธุรกิจโรงแรมและอีก 1 พันล้านบาทใช้ในธุรกิจอาหาร ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจาก CFO และแผนออกหุ้นกู้

แม้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาวของ CENTEL แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นมาสะท้อนมูลค่าพื้นฐานปี 2561 (อิงวิธี DCF) ที่ 53 บาท เราจึงคงแนะนำ “ถือ” โดยคาดให้ Div. Yield ปี 60 ราว 1.1%

 

ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ AOT “Outperform” ราคาเป้าหมาย 82.12 บาท/หุ้น ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิของ AOT ในไตรมาส 1/61 จะออกมาแข็งแกร่งที่ 5.90 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16.6% จากปีก่อน; เพิ่มขึ้น 58.8% จากไตรมาสก่อน) คิดเป็น 24% ของประมาณการปีนี้ทั้งปี

ทั้งนี้ ยังคงแนะนำให้ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 82.12 บาท (DCF: WACC 6.97%; terminal growth 4%) โดยได้รวมถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นอีก 2% ถึง 3% หลังปี FY18 และการปรับสัมประสิทธิ์ beta เป็น 0.85 เท่า จากเดิม 0.95 เท่า จากแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งตามการขยายสนามบิน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้รวม upside จากการปรับ PSC ตามแผนพัฒนาของบริษัท ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10 บาทต่อหุ้น

 

ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” TKN ราคาเป้าหมาย 24.70 บาท/หุ้น โดยมองว่าราคาของ TKN ตกลง 18% ในเดือนพฤศจิกายน มองว่าความกังวลของนักลงทุนในการควบคุมต้นทุน และการขายหุ้นทิ้งของผู้บริหารได้สะท้อนในราคาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมองว่านี่เป็นโอกาสซื้อสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว จากอัตราการเติบโตของ EPS ที่ 35.2% ในปี 256

ทั้งนี้ประมาณการว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะโตขึ้นในไตรมาส 4/61 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กำไรจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามคาดว่าผลกำไรที่อ่อนตัวในไตรมาส 4/60 เป็นสิ่งที่ตลาดคาดเนื่องจาก TKN อยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพของกำลังการผลิตใหม่ ปรับคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายเดิมที่ 24.70

 

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” BEAUTY ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน  และ 107% จากปีก่อน จากDomestic Spending Sentimentที่ฟื้นตัว อีกทั้งเข้าสู่ช่วงไอซีซั่นของการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ นอกเหนือจากนี้รายได้จากช่องทาง Non – Beauty channels ยังคงเติบโตสูงต่อเนื่อง ทั้งจากConsumer Products

ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น ในไตรมาส 4/60 จะเพิ่มขึ้นถึง 46% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ส่งผลให้ SSSG อยู่ที่ 28% สำหรับรายได้ในไตรมาส 4/60 อยู่ที่ 1,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากไตรมาสก่อน  และ 61% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน  และ 107% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน มองว่าDomestic Spending Sentiment  มีการปรับตัวดีขึ้นหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ อีกทั้งเข้าสู่ช่วงไอซีซั่นของการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่งผลบวกต่อ BEAUTY

สำหรับปี 60 คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยรายได้จะอยู่ที่ 3,741 ล้านบาท เพิ่ม 47% จากปีก่อนและกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,190 ล้านบาท เพิ่ม 81% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมากจาก 1) SSSG ที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 21.2% 2) การขยายสาขาในประเทศเป็น 345 สาขา 3) รายได้จาก Consumer Products ,รายได้จากต่างประเทศ และ E-commerce ที่มีการเติบโตสูง  4) การขยายตัวของ EBIT margin เป็น 39.2% 6)การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ SG&A to total sales ปรับตัวลดลง

ชอบแผนการรุกขยายตลาดต่างประเทศของ BEAUTY  โดยเฉพาะตลาดออนไลน์จีน ทาง BEAUTY มีแผนจะเปิด Official stores ใน Taobao.com และ Tmall.com ในไตรมาส 2/61 ปัจจุบันทาง BEAUTY อยู่ระหว่างการดำเนินการขอ FDA ของจีน คาดว่าจะได้รับ FDA ในไตรมาส 4/61มีมุมมองเชิงบวกกับการรุกตลาดออนไลน์จีนของ BEAUTY เราคาดว่า BEAUTY จะเริ่มรับรู้รายได้จากตลาดออนไลน์จีนในครึ่งปีหลังของปี 61

ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท ปัจจุบัน BEAUTY มี PEG 1.07x ปี 61 ซึ่งต่ำกวาอุตสาหกรรม แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมที่ 25.00 บาท ประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF (WACC ที่ 12.3% และ terminal growth 3%)

 

ด้าน บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA นายวิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SPA เปิดเผยถึง ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 4/2560 ของบริษัทและบริษัทย่อยคาดว่า มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวไฮซีซั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 60 ล่าสุดทะลุ 35 ล้านคน ถือว่าสูงสุดในประวัติการณ์

โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ จีน มาเลเซียและเกาหลี นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขาในไตรมาส 4 (เล็ทส์ รีแลกซ์ สปา รร. มิลเลนเนียม ป่าตอง ภูเก็ต เล็ทส์ รีแลกซ์ สปา นิมมาน เชียงใหม่ และบ้านสวน มาสสาจ เพชรเกษม) อีกด้วย

ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามเซ็นสัญญาแฟรนไชส์จำนวน 3 สาขาในเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กับ Ms. Prak Phalla นักธุรกิจหญิงชาวกัมพูชา โดยได้รับสิทธิ์ขยายธุรกิจสปาภายใต้แบรนด์ Let’s Relax เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปี 2561 โดยประเทศกัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศในแถบ CLMV มีอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสูงโดยในปีนี้ธนาคารโลกคาดการณฺ์ว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะโต 6.7% สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ด้วยแรงส่งจากอุปสงค์ภายในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยมีจีนเป็นประเทศผู้ลงทุนหลัก

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ารายได้โต 25% จากรายได้ของปี 60 และอนุมัติงบการลงทุนปี 2561 ในการขยายธุรกิจจำนวน 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 250 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขา 10 สาขา ในประเทศ และปรับปรุงสาขาเดิมและอีก 250 ล้านบาท สำหรับ M&A หรือ Special Projects สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ 1) ขยายสปาในประเทศภายใต้แบรนด์ เล็ทส์ รีแลกซ์ (Let’s Relax) ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก และบ้านสวน มาสสาจ ในทำเลชานเมืองกรุงเทพฯ 2) ขยายโมเดลรับบริหารสปาในโรงแรม มุ่งเน้นโรงแรมและรีสอร์ทระดับ 4-5 ดาวในหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก 3) ขยายสปาในต่างประเทศ รุกจีนและ CLMV ภายใต้แฟรนไชส์ โดยกลยุทธ์เหล่านี้จะส่งเสริมให้ SPA สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Back to top button