ความเสี่ยงเลื่อนเลือกตั้ง
อนาคตเลือกตั้งที่เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ชักมีความไม่แน่นอนเสียแล้ว
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
อนาคตเลือกตั้งที่เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ชักมีความไม่แน่นอนเสียแล้ว
ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่า เลือกตั้งปลายปี 61 ที่พล.อ.ประยุทธ์ไปประกาศ (โดยไม่มีคำขอ) กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คงเกิดขึ้นได้ยาก
เกิดได้ยากเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแก้ไขร่างกฎหมายให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน พล.อ.ประยุทธ์ก็ปฏิเสธว่า ไม่ใช่เจ้าของ “ใบสั่ง” ส่วนสนช.ก็บอกว่าทำเอง ไม่มีใบสั่ง
หาคนเชื่อได้ยาก! การเลือกตั้งภายในปีนี้ คงไม่เกิดขึ้นหรอก อย่างเร็วที่สุดก็คงจะปลายปี2562 เพราะต้องรอให้รัฐบาลโชว์ผลงานให้มากที่สุด หรือจนกว่าผลโพลล์ของฝ่ายความมั่นคงจะบอกว่า พรรคเพื่อไทยคงไม่ได้เสียงข้างมากแล้ว
อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นรายการบิดพลิ้วคำมั่นสัญญาครั้งแรกนะ คราวเยือนญี่ปุ่นก.พ.ปี 58 พล.อ.ประยุทธ์ก็รับปากผู้นำญี่ปุ่นจะให้มีการเลือกตั้งต้นปี 59
ไปประชุมยูเอ็นเดือนก.ย. 59 หลังผ่านประชามติรัฐธรรมนูญในเดือนส.ค.แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ประกาศต่อหน้าธารกำนัลอินเตอร์ฯอีกว่าจะให้มีการเลือกตั้งปลายปี 60
พล.อ.ประยุทธ์คงจะได้ทำแฮตทริก “ไม่ทำตามสัญญา” ว่าจะเลือกตั้งทั้งต้นปี 59 ปลายปี 60 และปลายปี 61
ดูการก่อรูปทางการเมืองเวลานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มสนช.แล้ว การเลือกตั้งปลายปี 61 คง “ปิดประตูตาย” เพราะนอกจากจะแก้กฎหมายยืดเลือกตั้งกันโต้งๆ แล้ว ยังจะมีการขุด “หลุมพราง” ทางกฎหมาย
โดยออกกฎหมายลูกให้ไปขัดกฎหมายแม่ อาทิ กฎหมายป.ป.ช.และที่มาส.ว. ซึ่งจะต้องเสียเวลาส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญตีความเป็นหลายเดือนกันอีก
ปี 61 จึงไม่ได้เห็นการเลือกตั้งแน่ เป็นไปได้เร็วที่สุดก็คือยืดไปเป็นปลายปี 62 ปัญหาสำคัญก็คือ รัฐนาวาประยุทธ์จะยังคงได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอยู่ไหม
ปัจจัยรบกวนบัลลังก์อำนาจมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นี่ก็เหมือน “ไฟเย็น” สั่นคลอนบัลลังก์นายกฯตู่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ยิ่งแก้ก็ยิ่งพันลึกเหมือน “ลิงแก้แห” ไม่อาจจะลบข่าวออกจากกระแสไปได้ ยิ่งดิ้นแก้ คนก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยกันมากขึ้น
เรื่องยืมเพื่อนใส่แม้เรือนเดียวก็ว่าแปลกแล้ว แต่นี่ดันยืมใส่วนกันตั้ง 25 เรือน นี่ก็ยิ่งแปลกไปใหญ่เข้าข่ายพิเรนทร์เลยเชียวแหละ
ยิ่งป.ป.ช.ที่มีจุดเปราะบางว่าตัวประธานเคยเป็นลูกน้องเก่าพล.อ.ประวิตรมาก่อน ออกมาทะเล่อทะล่าชี้โพรงว่า “ของยืม” ไม่ต้องแจ้งป.ป.ช.ก็ยิ่งพากันเข้ารกเข้าพง ป.ป.ช.พลอยเสื่อมตามกันไปด้วย
เรื่องนี้หาทางลบออกจากกระแสไม่ง่าย! “กองหนุน” ลุงตู่ลดลงฮวบฮาบ
ส่วนสิ่งรบกวนเรื่องที่ 2 ก็คือปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งวันนี้ก็ต้องมาดูกันว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายใต้ทีมดร.สมคิดในเวลานี้ มันมาถูกทางและมันใช่หรือเปล่า
แก้เศรษฐกิจแบบนักการตลาด ผมอยากจะเรียกเช่นนั้น เพราะมุ่งไปในทาง “ขายฝัน” และสร้างอีเว้นท์ทำโปรโมชั่นมากกว่า
ยกเว้นแต่โครงการระบบรางแล้ว ผมไม่ได้เห็นการแก้ปัญหาที่เจาะลึกถึงแก่นในเชิงโครงสร้าง
โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี จริงแท้แล้วก็ไม่ใช่โครงการใหม่อะไร มันก็คืออีสเทิร์นซีบอร์ดหรือโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกดั้งเดิมนั่นแหละ
รัฐบาลไม่ได้ไปสร้างอะไรเพิ่มเติมเช่น ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม หรือลอจิสติกส์ใหม่ แต่เป็นการขยายการลงทุนของภาคเอกชนปกติ และสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอก็ยังคงมีอยู่แต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว
อีอีซี คงไม่สามารถจะเป็นแม่เหล็กดึงการลงทุนขนาดใหญ่ให้พรั่งพรูเข้ามาได้หรอก การลงทุนที่เกิดขึ้น เป็นการเพิ่มขึ้นตามวงรอบที่เป็นไปตามดีมานด์-ซัพพลายเท่านั้น
ส่วนเรื่องจะแก้จนให้หมดไปภายในปีนี้ โดยจะใช้ “หมอประชารัฐ” หรือ “หมอไทยนิยม” ออกไปพบประชาชนทุกหมู่บ้าน-ตำบล ผมก็ว่าทีมข้าราชการที่ออกไป คงไม่ใช่ “ผู้วิเศษ” จะเป่ามนตร์แก้จนได้หรอก
ความรู้ความสามารถมีแค่ไหนก็เห็นๆ กันอยู่
ฝ่ายรัฏฐาธิปัตย์จะกำหนดให้มีการเลือกตั้งวันไหน ก็เอาตามที่พอใจเถิด แต่สัจธรรมการเมืองข้อหนึ่งนั้นบอกไว้ว่า
“ช่วงขาขึ้น ขึ้นตามบันได แต่ยามขาลง ลงตามลิฟต์”
ปัญหาก็ตามนั้นแหละว่า รัฐบาลคสช.อยู่ในช่วงขาลงหรือยัง