ORI ม้ามืด ในสถานการณ์ใหม่
ตั้งแต่ศุกร์โลกาวินาศ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สัญญาณเทคนิค และปัจจัยพื้นฐานของหุ้นต่างๆ ในตลาดจะต้องยกเลิกใช้การไม่ได้ไปชั่วคราว เพราะสภาพตลาดจากนี้ไป จะแปรปรวนยิ่งกว่าชายหญิงวัยทอง
แฉทุกวันทันเกมหุ้น
ตั้งแต่ศุกร์โลกาวินาศ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สัญญาณเทคนิค และปัจจัยพื้นฐานของหุ้นต่างๆ ในตลาดจะต้องยกเลิกใช้การไม่ได้ไปชั่วคราว เพราะสภาพตลาดจากนี้ไป จะแปรปรวนยิ่งกว่าชายหญิงวัยทอง
หุ้นพื้นฐานจะต้องมีคนตั้งคำถามว่า เป็นของจริงแค่ไหน ….และสามารถเป็น defensive stock ได้หรือไม่
ส่วนหุ้นที่พื้นฐานไม่ค่อยจะโดดเด่น ฐานะการเงินลูกผีลูกคน หรือกำไรลด หรือเลวร้ายกว่านั้น ขาดทุนต่อเนื่อง…คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีแนวโน้มอย่างเดียว….ถามหาว่า ก้นเหวอยู่หนไหน เท่านั้น
หุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายกลางที่โดดเด่นที่สุดปี 2560 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ที่นักวิเคราะห์พากันให้สมญา “ม้ามืด” จากการเติบโตโดดเด่นจากกลยุทธ์ธุรกิจที่ “โดนใจ” สามารถสร้างรายได้ และกำไร 9 เดือนแรกของปี มากกว่าปี 2559 ตลอดทั้งปี….ที่สำคัญราคาหุ้นหลังแตกพาร์ กลับบวกแรงกว่าตอนก่อนแตกพาร์ชนิด “ลืมอดีต” กันสนิท….ก็มีการบ้านให้นักลงทุนระดับแมงเม่าครุ่นคิดมากกว่าปกติว่า….จะเข้าช้อนซื้อที่ราคาเท่าใด ถึงจะมีกำไรสวยงาม
โดยพื้นฐาน แม้ ORI จะยังไม่ได้ประกาศงบการเงินสิ้นงวดปี 2560 แต่นักวิเคราะห์ก็พากัน “ฟันธง” ชนิดไม่กลัวดาบหักล่วงหน้าไปเลยว่า ต้องซื้อ…ด้วยเหตุว่า ราคาเหนือ 21.50 บาท ถูกเกินไป
โดยพื้นฐานก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากทุกอย่างเป็นไปตามคาด ORI จะมีกำไรสุทธิในไตรมาสสี่ที่ระดับ 1.2 พันล้านบาท โตกว่าระยะเดียวกันปีก่อน 294% ทั้งมาจากกำไรปกติและกำไรพิเศษ (จากการเริ่มส่งมอบโครงการ Park24 เฟส 1 มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท และกำไรพิเศษจากการขายหุ้นให้ NRED โดยไม่ได้รับเงินสด แต่เป็นการสว็อปหุ้น) กว่า 300 ล้านบาท
กำไรไตรมาสสี่ที่มากกว่ากำไร 3 ไตรมาสแรกรวมกัน จะทำให้กำไรสุทธิสิ้นปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 2,100 ล้านบาท โตอย่างก้าวกระโดด +231% แต่…หากคิดเป็นกำไรต่อหุ้นจะตกอยู่ที่ระดับอัตราเติบโตมากกว่า 130%
กำไรต่อหุ้นที่สุดยอดนี้ เนื่องจากเป็นกำไรพิเศษมากกว่ากำไรปกติจากการดำเนินงาน จะด่วนสรุปบอกว่า ราคาหุ้นเท่าไรก็ถูก…คงง่ายดายเกินไป เพราะอาจจะถูกพิษของ “มายาภาพแห่งกำไรพิเศษ”
ความต่อเนื่องของการรักษากำไรให้คงที่ของ ORI ที่นำโดยแม่ทัพใหญ่ นายพีระพงศ์ จรูญเอก หรือ เสี่ยโด่ง จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าปี 2561 นี้ จะสามารถรักษากำไรปกติได้มากแค่ไหน…โดยประเมินจากแผนธุรกิจและยุทธศาสตร์ของ ORI
ไม่รอให้เสียเวลามาก เสี่ยโด่งรีบนำทีมงานแถลงแผนธุรกิจละเอียดยิบ…ไม่กลัวคนลอกเลียนแบบ ตั้งเป้าสวยหรูว่าปี 2561 จะรุกทุกเซ็กเมนต์ …แม้จะไม่ได้พูดถึงกำไร (เพราะพูดไม่ได้) แต่นักวิเคราะห์นกรู้ก็พากันเอามาตีความก่อนฟันธงว่า สิ้นงวดปี 2561 ORI จะมีกำไรสุทธิในอัตราเติบโตมากกว่าปี 2561 ถึง 43%
อะไรจะดีขนาดนั้น …..ต้องไปดูคำแถลงข่าว (โดยสรุป) มีรายละเอียดย่นย่อดังนี้
- ในปีนี้ ORI วางแผนเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ รวมมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนที่มีแค่ 8 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเน้นรุกตลาดระดับบนในย่าน CBD มากขึ้น ภายใต้แบรนด์ Park (ราคาขายเฉลี่ย >2 แสน/ตร.ม.) และ Knightsbridge (ราคาขายเฉลี่ย 1.2-2 แสน/ตร.ม.) ในสัดส่วน 60% และ 21% ตามลำดับ บวกกับ
- เปิดโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ Britania เพิ่ม 4 โครงการ มูลค่า 4 พันล้านบาท มากกว่าปีก่อนถึง 5 เท่าตัว ในทำเลเดิมอย่างฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งยังเป็น “ทะเลสีคราม” และมีอุปสงค์ตลาดในพื้นที่หนาแน่น รวมถึงขยายไปยังเขต EEC โดยเฉพาะย่านแหลมฉบัง-ศรีราชา หนุนให้ยอดพรีเซลมีโอกาสเติบโต 36% ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้เกินเป้าที่วางไว้ที่ 1.47 หมื่นล้านบาท
- การรุกเข้าไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-use (ทั้งผลิตเพื่อขาย และผลิตเพื่อให้เช่า) กับโครงการ Park Origin Complex 3 แห่ง ในทำเลย่าน CBD อย่างทองหล่อ พร้อมพงษ์ และพญาไท รวมมูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท (ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมระดับ Luxury, ออฟฟิศให้เช่า, Serviced Apartment และพื้นที่ค้าปลีก) คาดเปิดตัวในช่วงไตรมาสสอง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับสู่กลุ่มลูกค้าบน และสร้างรายได้คงที่ Recurring Income รวมทั้งการสามารถปรับราคาขายได้มากกว่าการสร้างคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียว
จุดเด่นของแผนธุรกิจ ส่งผลให้มุมมองเชิงบวกของนักวิเคราะห์ที่ประเมินว่า หากปีนี้ ORI ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 40-45% ทำให้ EPS Growth 54% ในขณะที่ค่าพี/อีที่ 18 เท่า และมี PEG เพียง 0.34 เท่า (กำไรต่อหุ้นแซงหน้าราคาหุ้น) ราคาเป้าหมายเหมาะสมสิ้นปี ควรอยู่ที่ 27 บาท (รวมทั้งการแปลงสิทธิจาก ORI-W1 ด้วยบางส่วนหรือทั้งหมด)
ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์ก่อนหน้าศุกร์โลกาวินาศที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
คำถามคือ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ใจคน (นักลงทุน) ย่อมเปลี่ยน ….ราคาหุ้น ORI ในสถานการณ์ใหม่ จะเปลี่ยนไปด้วยมากน้อยแค่ไหน
คงไม่ต้องถามเสี่ยโด่ง…แต่ น่าจะถามเสี่ยปู่ หรือ เสี่ยนเรศ จะดีกว่า ในฐานะผู้ชำนาญการเรื่องราคาหุ้น
อิ อิ อิ