ฟันด์โฟลว์ไหลออกแรง
งานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวบวกลบแบบสลับฟันปลาตลอดทั้งวันก่อนปิดบวกเล็กน้อย เลียนแบบดาวโจนส์คืนก่อน แต่เมื่อปิดตลาด พบว่าตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติออกมาอีกวันค่อนข้างเยอะ และต่อเนื่องจากวันก่อนหน้าที่ขายสุทธิมาต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้าง
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
งานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวบวกลบแบบสลับฟันปลาตลอดทั้งวันก่อนปิดบวกเล็กน้อย เลียนแบบดาวโจนส์คืนก่อน แต่เมื่อปิดตลาด พบว่าตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติออกมาอีกวันค่อนข้างเยอะ และต่อเนื่องจากวันก่อนหน้าที่ขายสุทธิมาต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้าง
ดูจากตารางที่นำเสนอ จะเห็นว่า ต่างชาติขายสุทธิวานนี้ 3.37 พันล้านบาท แต่หากดูจากรอบสัปดาห์ จะพบว่า ต่างชาติขายสุทธิในสัปดาห์นี้หนักมากถึง 1.63 หมื่นล้านบาท และหากคิดจากต้นปีนี้มาไม่ถึง 2 เดือน มียอดตัวเลขต่างชาติขายสุทธิมากถึง 2.20 หมื่นล้านบาท มากเท่ากับยอดขายสุทธิของปี 2560 เลยทีเดียว
หากคิดจากสถิติ จะพบว่า ยอดขายสุทธิของต่างชาติ (เรียกอีกอย่างว่า ฟันด์โฟลว์ไหลออก) ในตลาดหุ้นไทย ในปี 2588 มีตัวเลขมากถึง 2 แสนล้านบาท ต่อมาลดลงในปี 2559 มีตัวเลขขายสุทธิลดลงเหลือแค่ 7.0 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมายความว่าปี 2560 ยอดขายสุทธิของต่างชาติถือว่าถึงจุดต่ำสุด และอาจจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีแน่นอน
การขายสุทธิของต่างชาติไม่ได้เกิดเฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังเกิดกับตลาดตราสารหนี้ด้วย เมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 7,310 ล้านบาท โดยมี NET OUTFLOW มากถึง 9,148 ล้านบาท
ส่วนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทก็ถูกขายออกจนอ่อนตัวอย่างรุนแรงกว่า 20 สตางค์ต่อดอลลาร์โดยที่ในช่วงบ่ายถึงค่ำ ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วงเช้า ซึ่งนักบริหารเงินระบุว่า เพราะมีเงินไหลออก เนื่องจากตลาดประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาดไว้ และทำให้มีความต้องการซื้อดอลลาร์มากขึ้นชัดเจน แถมยังคาดว่า วันนี้ และอาจถึงสัปดาห์หน้า เงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าได้ต่อ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 31.75-32.00 บาท
ความกลัวค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินคงจะเลือนหายไปรวดเร็ว เพราะจากนี้ไป ค่าบาทที่อ่อนลงจากฟันด์โฟลว์ไหลออกจะกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของตลาด ที่ไม่ใช่ข่าวดีของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยแน่นอน
กระแสฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกแรงจนค่าบาทไทยอ่อนยวบยามนี้ มีเหตุผลอธิบายได้ว่าเกิดจากกรณีที่ดัชนีดาวโจนส์และราคาหุ้นในตลาดนิวยอร์กเริ่มมีทิศทางเป็นขาลง จนกระทั่งมีข่าวว่า บรรดากองทุน ETFs และ hedge funds ในเริ่มแรก เริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่องเป็นกลุ่มๆ มากขึ้น เกิดความจำเป็นต้องเร่งออกปฏิบัติการขายหุ้นทิ้งหรือ sell off หุ้นในเอเชียกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะใน 4 ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น ไทย อินโดนีเชีย และฟิลิปินส์ ซึ่งเปิดช่องให้ทุนไหลเข้าออกเสรีกว่าที่อื่นๆ
ผลลัพธ์หนีไม่พ้นทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของตลาด TIPS มีโอกาสกลายสภาพเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนติดลบในระยะต่อไปได้มาก ตรงกันข้ามกับคำคุยโตของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์เหล่านั้นที่ถูก “ส้มหล่น” มานานหลายเดือน
ภายใต้สถานการณ์ตลาดหุ้นเกิดสภาพของการพลิกกลับกะทันหัน ยามนี้กลับไม่มีใครถามถึงเหตุผลเบื้องหลังว่า ทำไมฟันด์โฟลว์จึงพากันขายทิ้งหุ้นอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่าปีก่อน ทั้งที่ผู้นำรัฐบาลปัจจุบันพยายามพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเศรษฐกิจยังมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น และผู้บริหารตลาดพยายามปลอบขวัญซ้ำซากว่า น่าจะถือเป็นโอกาสดี โดยพิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น โดยที่คาดว่าอาจจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาในประเทศได้อีก
ในปี 2558 นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท อธิบายว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐลดการอัดฉีดมาตรการ QE มีลผลต่อการโยกไปซื้อตราสารหนี้ในสหรัฐฯที่จะได้รับประโยชน์มากกว่า ปีนี้ ก็มีคำอธิบายทำนองเดียวกันในเรื่องที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าปกติ เพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ แต่รายละเอียดต่างกันเท่านั้น
สำหรับตลาดหุน้ไทย แรงซื้อนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปีก่อนเป็นต้นมาถึงกลางเดือนมกราคมปีนี้ จนสามารถดันดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกแรงทะลุ 1,800 จุดมาได้โล่งตลอด แต่สถานการณ์ที่แปรผันจากความหวาดกลัวฟองสบู่ตลาดทั่วโลก ทำแรงขายเริ่มออกมาชัดเจน ทำให้การคาดเดาของบรรดานักวิเคราะห์ “ขาเชียร์” ที่พยายามพากันบอกว่าการพักฐานหรือ market correction เป็นแค่การ “ลงเพื่อขึ้น” ตามปกติ เริ่มเสื่อมมนตร์ขลังลง
มูลค่าซื้อขายที่ลดลงฮวบฮาบวานนี้ อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็น “ขาลง” แต่ก็สะท้อนถึงความลังเลใจของแรงซื้อที่ชัดเจน เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ
เมื่อใดที่ บรรดาผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติ ที่ควบคุมกระแสฟันด์โฟลว์ ต่างเริ่มแสดงความกังวลว่า สภาพตลาดกระทิงในปัจจุบัน เข้าข่ายตลาดเริ่มมีสภาพเป็นฟองสบู่ขึ้นมากชัดเจน เมื่อค่าพี/อีของตลาดสูงเกินระดับสมเหตุสมผล ก็น่าจะถึงเวลาของขาลงได้แล้ว