พาราสาวะถี
ต้องขอบคุณข่าว เปรมชัย กรรณสูต พาคณะไปล่าและเปิบเมนูเสือดำ เพราะวันนี้ทุกพื้นที่สื่อไม่ว่ากระแสหลัก กระแสรอง โดยเฉพาะในโลกโซเซียลมีเดีย แห่ติดตามกันหนาแน่น เบียดข่าวนาฬิกาหรูและการปลุกกระแสล่าชื่อไล่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไขก๊อกพ้นเก้าอี้ตกกระป๋อง กลายเป็นเรื่องที่โลกลืมไปในทันทีทันใด
อรชุน
ต้องขอบคุณข่าว เปรมชัย กรรณสูต พาคณะไปล่าและเปิบเมนูเสือดำ เพราะวันนี้ทุกพื้นที่สื่อไม่ว่ากระแสหลัก กระแสรอง โดยเฉพาะในโลกโซเซียลมีเดีย แห่ติดตามกันหนาแน่น เบียดข่าวนาฬิกาหรูและการปลุกกระแสล่าชื่อไล่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไขก๊อกพ้นเก้าอี้ตกกระป๋อง กลายเป็นเรื่องที่โลกลืมไปในทันทีทันใด
ข่าวเช่นนี้ดีขนาดไหนก็ขนาด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาขอบคุณพร้อมชื่นชม วิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกพร้อมคณะยกใหญ่ และชูนิ้วให้เป็นข้าราชการผู้ที่เสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง งานนี้ถือว่าถูกต้องแต่ถ้าจะให้ดีมีคนสะกิดบอกบิ๊กตู่ว่า ควรจะให้ใครบางคนยอมเสียสละเพื่อคสช.ดีกว่ามั้ง (ฮา)
ประเทศไทยนับตั้งแต่คสช.เข้ามาปกครองพร้อมการกุมบังเหียนบริหารบ้านเมืองภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ใครจะไปเจรจาค้าขายกับต่างประเทศคงต้องทำการบ้านหนักไปอธิบายให้คู่หารือเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมันมีทั้งประชาธิปไตยไทยนิยมและโครงการไทยนิยมยั่งยืน มิหนำซ้ำ สิ่งที่เขาจะอดสงสัยไม่ได้คือ เป็นไปได้ไงที่คนของคณะเผด็จการออกมาพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยกันอย่างไม่กระดาก
ล่าสุด พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์สวมหัวโยนรัฐมนตรีมหาดไทย ระบุช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศชาติเกือบถึงวิกฤติเพราะติดกับดักกับคำว่าเปลือกประชาธิปไตยและคำว่าเลือกตั้ง ฟังดังนี้ ถ้าคนประชาธิปไตยไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็ไม่รู้จะว่ายังไง ขณะเดียวกันก็ทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดคนๆ นี้ถึงใจกล้าหน้าทนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกผ่านรายการโทรทัศน์ในช่วงที่ตัวเองดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ถูกแล้วที่ วรชัย เหมะ จะออกมาสวนกลับ ตั้งแต่การยึดอำนาจในปี 2549 แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็มีการสร้างเงื่อนไขเรื่องความขัดแย้งจนมีการรัฐประหารอีกครั้งในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผู้มีอำนาจสั่งให้คณะยกร่างกันขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญกึ่งประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเพียงครึ่งเดียว
๑๑ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรี อีกทั้งการบริหารประเทศช่วงที่ผ่านมาก็ขับเคลื่อนด้วยอำนาจมาตรา 44 แล้วประเทศชาติได้พัฒนาไปข้างหน้าหรือไม่ แม้จะมีโครงการต่างๆ ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปี ประชาชนก็ยังลำบากอยู่ ส่วนโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่พร่ำบอกกันว่าจะเข้าถึงประชาชนทุกตารางนิ้ว ก็เป็นเพียงการส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเปลี่ยนความคิดประชาชนให้เชื่อมั่นการทำงานรัฐบาลเท่านั้น
ไม่ต่างกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บอกว่าต้องดูการปฏิบัติจริง ในฐานะฝ่ายการเมืองไม่มีอะไรหวั่นไหว แต่อยากจะบอกว่าหากสร้างความรู้ ความเข้าใจและปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องถือเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าลงไปแล้วเกิดลักษณะใช้อำนาจรัฐไปเอื้อประโยชน์ทางการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่เกรงว่าจะได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง แต่จะเป็นเรื่องการไปทำลายระบบที่กำลังจะปฏิรูปมากกว่า
สรุปคือไม่ว่าจะมองแบบฮาร์ดคอร์จากซีกคนพรรคนายใหญ่หรือสไตล์แทงกั๊กอย่างพรรคเก่าแก่ ไม่ว่าฝ่ายใดก็มองเห็นว่า การส่งทีมกว่า 7 พันชุดลงไปปฏิบัติการณ์ผ่านโครงการไทยนิยมนั้น คงจะมีเจตนาทางการเมืองแอบแฝงอย่างแน่นอน คงต้องยอมรับสภาพไปตามๆ กัน เพราะทุกอย่างอยู่ที่ความใจกล้า หน้าด้าน ที่สำคัญคือในเมื่อกระบวนการตรวจสอบง่อยเปลี้ยเสียขา คนที่คิดจะสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องย่อมทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ
ตั้งแต่ม็อบอยากเลือกตั้งปรากฏกายขึ้นเมื่อ 27 มกราคมที่สกายวอล์คแยกปทุมวัน ตำรวจออกหมายเรียกผู้ร่วมชุมนุม 39 คน ก่อนจะออกหมายจับ 4 แกนนำ รังสิมันต์ โรม “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ เอกชัย หงส์กังวาน และ อานนท์ นำภา จนมาถึง 10 กุมภาพันธ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คำถามคือ ทำไมผู้มีอำนาจออกอาการหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง
ให้น้ำหนักและกระพือข่าวเพื่อดิสเครดิตกันล่วงหน้า ขู่กันสารพัด แต่กิจกรรมก็ยังเดินหน้าต่อไป เพราะมีการขออนุญาตชุมนุมตามกติกา เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ประเด็นการเคลื่อนไหว หากแต่อยู่ที่จำนวนคนที่เข้าร่วม เมื่อปริมาณจากหลักหน่วยกลายเป็นหลักสิบและหลักสิบพัฒนาเป็นหลักร้อย ย่อมสะเทือนไปถึงความมั่นคงของผู้มีอำนาจ เนื่องจากการท้าทายเริ่มขยายวงได้มากขึ้น
ยิ่งชื่อของกลุ่มก้อนของการเคลื่อนไหวภายใต้ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และกลุ่ม START UP PEOPLE ย่อมมีนัยแอบแฝงและแหลมคม ฟื้นฟูประชาธิปไตยเพราะอะไร ใครเป็นคนทำลาย และการที่ชี้ชวนให้ประชาชนตื่นรู้ยิ่งสวนทางกับความต้องการของผู้มีอำนาจ ที่ประสงค์จะให้ประชาชนเชื่อฟังและทำตามสิ่งที่ชี้นำมาโดยตลอด
ความระแวงของผู้มีอำนาจที่เกิดขึ้น จาตุรนต์ ฉายแสง คนประชาธิปไตยโดยแท้ จึงออกมาเตือนด้วยความหวังดีว่า เป็นการดีแล้วที่เยาวชนคนหนุ่มสาวกำลังจะทำหน้าที่กำหนดอนาคตของชาติ ซึ่งก็คือ อนาคตของพวกเขาเอง จะให้เขาปล่อยให้อนาคตของพวกเขาถูกกำหนดล่วงหน้าและถูกกำกับต่อไปโดย คสช.ที่ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองไปอีกเป็น 10-20 ปีได้อย่างไร
ถ้าการรับฟังความคิดเห็นเป็นเรื่องฝืนนิสัยของตนเองเกินไป อย่างน้อยคสช.ก็ควรรู้จักอยู่เฉยๆ เสียบ้าง อย่าไปทำร้ายคนที่เขาหวังดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างที่ทำมาตลอดอีกเลย ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศอยากให้คสช.คืนอำนาจโดยเร็ว ใครๆ ก็บอกว่าอยู่กันไปอย่างนี้ เศรษฐกิจมีแต่จะแย่ลงไม่ไหวแล้ว ยิ่งช่วงหลังมีเรื่องฉ้อฉลอื้อฉาวเกิดขึ้นไม่ได้หยุดหย่อนก็ยิ่งไปกันใหญ่ เวลานี้ไม่ว่าโพลล์สำนักไหนไปถามประชาชน ก็ได้คำตอบเหมือนๆ กัน
การแสดงออกของประชาชนที่ต้องการให้คสช.คืนอำนาจให้ประชาชนและจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วตามสัญญา จะกลายเป็นการชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายและกระทบต่อความมั่นคงไปได้อย่างไร คนที่เดือดร้อนก็เห็นจะมีแค่คสช.กับพวกเท่านั้น การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องใช้อย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ อยากจะบอกว่ากิจกรรมอะไรผิดกฎหมายก็ผิด บอกว่าไม่ผิดก็เป็นอันไม่ผิด คิดกันได้เท่านี้มันจึงมีแต่ปัญหาและเกิดภาวะอับจนปัญญาจนต้องขยายเวลาอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด