สังคมข่าวหุ้น

ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,801.16 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.14 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 8.4 หมื่นล้านบาท * เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของเทศกาลประกาศงบกันแล้ว หลายบริษัทประกาศกำไรออกมาแกร่งเกิดคาด แต่ที่โดดเด่นจนเป็น “talk of the town” มากที่สุด คงหนีไม่พ้นกับแม่ทัพใหญ่หุ้นพลังงานบ้านเรา PTT นั่นเอง


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,801.16 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.14 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 8.4 หมื่นล้านบาท * เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของเทศกาลประกาศงบกันแล้ว หลายบริษัทประกาศกำไรออกมาแกร่งเกิดคาด แต่ที่โดดเด่นจนเป็นtalk of the town” มากที่สุด คงหนีไม่พ้นกับแม่ทัพใหญ่หุ้นพลังงานบ้านเรา PTT นั่นเอง

* นอกจากทำเซอร์ไพรส์ประกาศงบปี 60 ด้วยกำไรมหาศาล 1.3 แสนล้านบาทแล้ว แต่เรื่องสำคัญและเป็นข่าวดีแรงที่สุด รวมถึงเป็นสิ่งนักลงทุนรายย่อยฝันกันมานาน คือ ได้เห็น PTT แตกพาร์ ซึ่งการแตกพาร์ในครั้งนี้ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การช่วยเพิ่มสภาพคล่องหุ้นเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้รายย่อยมีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้น PTT ยิ่งขึ้น เพราะถ้าอิงฐานราคาปัจจุบันที่เทรดเกินระดับ 500 กว่าบาท บอกตรงๆ มีรายย่อยเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นแหละที่กล้าเป็นเจ้าของ

* ดังนั้น เมื่อแตกพาร์แล้วหุ้น PTT ภายใต้โฉมใหม่จะซื้อขายกันเพียงแถวระดับ 50 กว่าบาท ทำให้โอกาสซื้อหุ้น PTT เปิดกว้างขึ้นทันที และถือเป็นรัฐวิสาหกิจรายที่ 2 ที่ใช้กลยุทธ์แตกพาร์ โดยรายแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล AOT นั่นเอง งานนี้ หลายฝ่ายจึงมองมาในทางเดียวกันว่า หากผู้ถือหุ้นช่วงเดือน เม.ย. อนุมัติแตกพาร์จริง ตามกระบวนการแล้วน่าจะเทรดพาร์ใหม่ในช่วง พ.ค. แล้วนับจากนั้นเป็นต้นไป ถ้าพื้นฐานยังดีไม่เปลี่ยนและไร้ปัจจัยลบพิเศษกดดัน มีโอกาสสูงมากที่หุ้น PTT จะทำราคาบินสูงไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ คล้ายกับเคสของ AOT

* อย่างที่บอกกับผู้อ่านเสมอว่า แผนแตกพาร์หุ้น บริษัทไหนก็ทำได้ แต่หุ้นที่แตกพาร์แล้วดีต่อเนื่องในระยะยาวมีกันน้อยมาก เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดีจริง ต่อให้แตกพาร์ไปสุดท้ายสภาพคล่องหุ้นก็ไม่เกิด จึงแตกต่างกับ PTT ที่แค่ตอนปกติการซื้อขายต่อวันก็แน่นมากแล้ว  บวกกับพื้นฐานในมือที่แข็งแกร่ง มีอัพไซด์ในอนาคตจากแผนส่ง PTTOR เข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วได้ยังแรงส่งสำคัญคือแผนแตกพาร์เสริมเข้าไปอีก จึงเชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานจะได้เห็นหุ้น PTT เดินทางไปไกลมากกว่านี้

* ขอย้ายมาพูดถึงหุ้นเล็ก-กลางที่น่าสนใจกันบ้าง เริ่มกันด้วยหุ้นเล็กขอเลือกไปที่ FTE ประกาศงบปี 2560 ออกมาทำกำไรสดใสถึง 130 ล้านบาท โตขึ้นเฉียด 50% เอ็มดีบริษัท “ทักษิณ ตันติไพจิตร” เลยออกปากมั่นใจว่า งวดปี 2561 ยังคงโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งในเบื้องต้นมองฐานรายได้จะเพิ่มขึ้นขั้นต่ำ 20% เลยทีเดียว เป็นผลมาจากงานติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบดับเพลิง รวมถึงงานขายสินค้าล้วนอยู่ในช่วงขาขึ้นเต็มตัว

* ฝั่งโบรกฯ เองมองบวกต่อการเติบโตของ FTE สอดคล้องกัน พร้อมกับให้ราคาเป้าหมายสูงถึง 5 บาท อัพไซด์เหลืออีกเพียบ โดยเบื้องต้นคาดกำไรปี 2561 จะเติบโตขึ้นมาอยู่ระดับ 150 ล้านบาท เนื่องจากมีงานหลายส่วนที่มีช่องว่างให้ FTE เข้าไปชิงตลาดฯ ไม่ว่าจะกลุ่มโรงงานที่ปัจจุบันมีความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยระดับสูง ดังนั้น ความต้องการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงจึงเพิ่มขึ้นตาม รวมถึงยังมีงานจากภาครัฐทั้งของ กฟผ. หรือ กฟน. ที่ตามแผนระยะยาวต้องติดตั้งระบบดับเพลิงในสถานีไฟแรงสูงต่อเนื่องถึง 10 ปี ข่าวดีหนุนหุ้นรายทางมีเพียบ FTE จึงถือเป็นของดีเหมาะกับคนชอบหุ้นเล็กมาก

* ส่งท้ายด้วยหุ้นไซส์กลาง III ชอบในพื้นฐานธุรกิจโลจิสติกส์ที่อิงไปกับกระแสการเติบโตของยุคปัจจุบันและอนาคต โดยปัจจุบันจะได้ประโยชน์ฐานกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโต ซึ่ง III มีจุดเด่นในความครบวงจร จึงดึงดูดให้ลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาใช้บริการแน่น

* ส่วนอนาคตให้น้ำหนักไปที่ EEC ของภาครัฐ เพราะระบบโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกควบคู่โดยตรง ทำให้ IIIมีปัจจัยหนุนทั้งในระยะสั้นถึงระยะยาว ล่าสุดผู้บริหารบริษัท “ทิพย์ ดาลาล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มั่นใจว่า ปี 2561 ยังโตได้ต่อเนื่อง สะท้อนได้จากความต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ-ทะเลที่เพิ่มขึ้น แล้วยังมีแผนขยายคลังสินค้ารองรับตลาดกลุ่มเคมีภัณฑ์อีก ฝั่งราคาในกระดานปิดบวกที่ 8.75 บาท เทียบกับโอกาสเติบโตในอนาคตถือว่าไม่แพง เป็นอีกหุ้นที่น่าเก็บติดมือไว้มาก *

Back to top button