ขนทัพหุ้นปลอดภัยพื้นฐานแกร่ง ราคายัง Laggard รับมือตลาดฯผันผวนหนัก!
ภาวะตลาดหุ้นไทยในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลดลงอย …
ภาวะตลาดหุ้นไทยในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมเดือนมีนาคม 2561 นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิออกมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนปี
ขณะที่ยังคงมีปัจจัยลบจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคงกดดันจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และอลูมิเนียมของประธานาธิบดีสหรัฐ ที่คาดว่าจะก่อให้เกิดสงครามทางการค้า
นอกจากนี้ปัจจัยในประเทศยังมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นแรงจนเกินราคาพื้นฐาน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ยังคงปรับตัวน้อยกว่าตลาด และยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นรับปัจจัยพื้นฐาน
นอกจากนี้ยังทำการรวบรวมบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive) ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดขาลงน้อยกว่าบริษัทจดทะเบียนรายอื่น
สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีดังนี้ SCC ,ADVANC ,SCB ,CPF และQH
โดย บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ภาพรวมตลาดระยะสั้นเป็นทิศทางลบ เราแนะนำ Switch มาเก็งกำไรกลุ่ม Laggard Play อย่าง SCC ,ADVANC ,SCB และ CPF ซึ่งแนะนำมาในสัปดาห์ที่แล้วและจะเห็นได้ว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดวานนี้
ขณะที่หุ้น Defensive อย่าง QH มีความน่าสนใจด้วยเงินปันผลที่สูงเทียบกลุ่มและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเช่นเดียวกับหุ้น Stock Highlight ก่อนหน้านี้ที่แข็งแกร่งกว่าตลาดอย่าง PTTGC ,BJC กลุ่มยานยนต์อย่าง SAT และ AH ขณะที่ BANPU ปรับตัวลงหลังศาลตัดสินชดเชย 2.7 พันล้านบาท (เราแนะนำขายทำกำไรเชิงกลยุทธ์ก่อนหน้านี้) แนะ Selective ADVANC ,CPF ,QH เด่นสุด
ทั้งนี้แนะนำ ซื้อ” QH หุ้น Defensive กับตลาดผันผวน โดยมองว่าราคาหุ้น QH ปัจจุบันถือว่า Laggard SET Index และให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากกว่า 4.3% ในครึ่งปีหลัง เป็นโอกาสที่ดีเข้าซื้อลงทุนและ Defensive กับตลาดที่ค่อนข้างผันผวน
ขณะที่เชิงบวกในปี 61 จากมุมมองกลยุทธ์บริษัทที่หนุนให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้ง (1) ฐานที่ต่ำในช่วงท้ายปี 60 จากการเร่งระบายสต็อกที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง แต่เราคาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีจากการปรับราคาขายบางส่วน (2) แนวโน้ม SG&A ที่ลดลงในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 60 ต่อเนื่องจากการลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และ (3) บ.ตั้งเป้า Presales คาดการณ์เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน เด่นสุดรอบ 2 ปี หากบ.สามารถทำได้ตามเป้า แนะนำ “ซื้อ” QH มูลค่าเหมาะสมเฉลี่ย ที่ 3.92 บาท
ด้าน บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” SCC ราคาเป้าหมาย 530 บาท/หุ้น โดยมองว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ที่ 12,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน โดยไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น ประมาณ 653 ล้านบาท ไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวกำไรจากการดำเนินปกติอยู่ที่ 11,307 ล้านบาท จากกำไรในกลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ดีขึ้น
ด้าน Cycle ปิโตรเคมียังคงแข็งแรง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภค ขณะที่ ปูนซีเมนต์คาดว่าค่อยๆฟื้นตัวผ่านการลงทุนของรัฐ และความต้องการในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในกัมพูชา และอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 530 บาท จากภาพระยะยาวของบริษัทยังคงมีความมั่นคง ฐานะทางการเงินแข็งแรง พร้อมเดินหน้าการกระจายการลงทุนและขยายฐานการผลิต
ด้าน บล.แอพเพิล เวลธ์ แนะนำ “BUY” ADVANC ราคาเป้าหมาย 219 บาท/หุ้น หลังจากบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ที่ 7,702 ลบ. เพิ่มขึ้น 18.97% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3.13% จากไตรมาสก่อน สำหรับกำไรสุทธิทั้งปี 2560 เท่ากับ 30,078 ลบ. ลดลง 1.9% จากปีก่อน ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 1.81% และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่ารายได้รวมจะต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อย -0.5% แต่บริษัทได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ใช้ในการลงทุนในปี 2559 และ ปี 2560 สิทธิประโยชน์นี้จะทยอยรับรู้เป็นระยะเวลา 5 ปี ส่งผลให้อัตราภาษีเงินได้สุทธิจะอยู่ที่ 16% จนถึงปี 2563
สำหรับปี 2561 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโครงข่าย) เพิ่มขึ้น 7-8% จากปีก่อน โดย 2% มาจาก CSL ที่จะรับรู้รายได้เต็มปีซึ่งส่วนเพิ่มนี้มาจากกลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งเป็นลูกค้าเดิมของ CSL ทั้งนี้เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าองค์กรสำหรับ ADVANC อีกด้วย โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ลูกค้าองค์กรจากเดิม 9% เพิ่มเป็น 25% ใน 3 ปี สำหรับลูกค้ากลุ่มอื่น ADVANC ยังคงมุ่งเน้นที่จะเพิ่มลูกค้าที่มีคุณภาพโดยเฉพาะกลุ่ม Post-Paid* ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูงกว่ากลุ่ม Pre-Paid** เฉลี่ย 3.25 เท่า (ค่าเฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง) ซึ่งจะทำให้รายได้รวมมีการเติบโตดีกว่า ส่วนลูกค้ากลุ่ม Fixed Broadband ปัจจุบัน ADVANC ให้บริการอยู่ใน 50 จังหวัดยังมีพื้นที่ในการเติบโตต่อเนื่องได้อีกมาก ในส่วนของ EBITDA Margin คาดอยู่ที่ระดับ 45-47% และงบลงทุนโดยยังไม่รวมที่ต้องชำระค่าใบอนุญาตตั้งไว้ที่ 35,000-38,000 ลบ.
สำหรับประเด็นการประมูลคลื่นในปีนี้หลัง กสทช. มีมติเห็นชอบให้แบ่งสัญญาคลื่นความถี่ที่ใช้ประมูลจากเดิมสัญญาละ 15 MHz เป็น สัญญาละ 5 MHz ช่วยลดแรงกดดันในการแข่งขันด้านราคาลงได้มากและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการที่มีคลื่นความถี่ในมืออยู่เพียงพอ ปัจจุบัน ADVANC เองก็มีคลื่นความถี่ที่เพียงพอต่อการให้บริการ แต่หากราคาประมูลมีความเหมาะสม ก็อาจพิจารณาเพิ่มคลื่นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันในอนาคต
ทั้งนี้ ADVANC ยังคงอันดับหนึ่งได้อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านส่วนแบ่งทางการตลาดและรายได้รวม อีกทั้งยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราจึงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายเท่ากับ 219.00 บาท (DCF Method, WACC 7.21%, Terminal Growth 2%) มี Upside จากราคาปัจจุบันราว 11.73% สำหรับเงินปันผลของรอบผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2560 จ่ายในวันที่ 26 เมษายน 2561 ที่ 3.57 บาท/หุ้น (Yield 1.8%) ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 เมษายน 2561
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “HOLD” SCB ราคาเป้าหมาย 153 บาท/หุ้น โดยมองว่าต้นทุนในโครงการ 2020 Vision ของ SCB อาจกดดันผลประกอบการในปีนี้ อย่างไรก็ดี ประมาณการณ์ยังไม่ได้รวมผลกระทบหาก SCB สามารถประสบความสำเร็จในการลดพนักงานและสาขาดังที่ตั้งใจไว้ เราคาดว่า ROE ปี 2563 อาจเพิ่มขึ้นจากประมาณการของเราที่ 13.6% เป็น 17.4% คงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกในระยะสั้น ราคาเป้าหมายอิง 3อยู่ที่ 153 บาท (3 ปี 2561 อยู่ที่ 1.33 เท่า 3 12.8% และ 3 10.9%) แนะนำ 3 ซื้อ 209 บาท ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 235 บาท)
ด้าน บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” CPF ราคาเป้าหมาย 30 บาท/หุ้น ถึงแม้ว่ากำไรหลักในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จะยังคงถูกกดดันจากธุรกิจหมูในประเทศที่มีแนวโน้มขาดทุนเพิ่มขึ้น แต่เราก็ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการหลักที่จะกลับมาฟื้นตัวแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ซึ่งจะมีปัจจัยผลักดันจากธุรกิจหมูในประเทศเวียดนามที่จะพลิกกลับเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป และธุรกิจหมูในประเทศไทยที่คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในไตรมาส 3/61
ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนมองข้ามผลประกอบการหลักในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่ยังคงอ่อนแอไปยังผลประกอบการหลักในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่จะพลิกกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่ง เรายังคาดว่าขาดทุนหลักของธุรกิจเบลลิซิโอมีแนวโน้มลดลงในปี 2561 เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากเหตุผลของกำไรหลักที่จะกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2561
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน