พาราสาวะถี

ไม่รู้ว่ากลัวรัฐบาลจะถูกกดดันจากนานาประเทศหรือเป็นเพราะกระแสพรรคใหม่ทั้งหลายต่างพากันประกาศสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยกันแน่ บรรดาคนในองคาพยพของคณะเผด็จการคสช. จึงต่างพากันออกมาย้ำนักย้ำหนาเรื่องของโรดแมปเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า


อรชุน

ไม่รู้ว่ากลัวรัฐบาลจะถูกกดดันจากนานาประเทศหรือเป็นเพราะกระแสพรรคใหม่ทั้งหลายต่างพากันประกาศสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยกันแน่ บรรดาคนในองคาพยพของคณะเผด็จการคสช. จึงต่างพากันออกมาย้ำนักย้ำหนาเรื่องของโรดแมปเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

โดยเฉพาะ วิษณุ เครืองาม ย้ำมาแล้วหลายรอบ ล่าสุดวันวานบอกไม่เป็นปัญหาถ้าสนช.จะโยนเผือกร้อนเรื่องการยื่นตีความร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ให้รัฐบาลเป็นผู้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพียงแต่เมื่อไม่ได้เตรียมการและเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นจึงพูดในรายละเอียดไม่ได้ ที่ยืนยันได้แน่ๆ คือ ไม่กระทบโรดแมปใหญ่อันหมายถึงเลือกตั้งเดือนกุมภาฯ

แน่นอนว่าประสาเนติบริกร วิษณุอธิบายถึงเหตุที่มั่นใจว่าไม่ช้า เพราะกระบวนของศาลรัฐธรรมนูญหลังจากรับเรื่องไว้พิจารณา เนื่องจากเป็นเรื่องของข้อกฎหมายที่ศาลจะประชุมและพิจารณาโดยไม่ต้องมีการสืบพยาน ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นเรื่องของการตีความเนื้อหาสาระล้วนๆ จึงใช้เวลาไม่นาน พูดง่ายๆ ไม่ว่าสนช.ส่งเองหรือจะให้รัฐบาลเป็นธุระไม่ใช่สาระสำคัญและไม่มีอะไรต้องกังวล

อย่างไรก็ตาม เผือกร้อนดังกล่าวคงไม่ถูกส่งมาถึงมือรัฐบาล เพราะ สมชาย แสวงการ เลขานุการวิปสนช. ยืนยันแล้วว่า หารือกันเบื้องต้น เสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกสนช.ต้องการให้ส่งแค่ร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.เท่านั้นไปตีความ โดยอ้างว่าหากส่งร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ไปด้วย จะทำให้กระทบต่อโรดแมปเลือกตั้ง

ถึงจะใช้เหลี่ยมคูอย่างไรมาอธิบาย ก็สรุปใจความได้ว่า สนช.ก็หวั่นใจว่าร่างกฎหมายส.ว.นั้นสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมากกว่า จึงต้องส่งให้วินิจฉัยตามข้อห่วงใยของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ส่วนร่างกฎหมายส.ส.ดูเหมือนว่าสนช.จะมั่นใจเต็มร้อย ประเด็นตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปเลือกตั้งรับราชการและการให้ช่วยผู้พิการกาบัตรลงคะแนนนั้น อย่างไรเสียก็ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ทุกคนกำลังมองว่านี่คือข้อขัดแย้งระหว่างองคาพยพของคณะรัฐประหาร แต่ความเป็นจริง สมชัย ศรีสุทธิยากร กลับเห็นเป็นอีกแบบโดยชี้ว่า “หมากนี้ลึกซึ้งนัก” ใครที่บอกว่าร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ไม่เสร็จไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้งส.ส. ขอบอกสั้นๆ รัฐธรรมนูญบอกให้เลือกส.ว.ให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งส.ส. 15 วัน “ไม่มีส.ว.ก็ไม่มีส.ส.”

ไม่เพียงเท่านั้นสมชัยยังสาธยายต่อว่า การยื่นตีความนั้นอย่างไรเสียก็กระทบต่อโรดแมป โดยหากเป็นไปแบบพื้นๆ เบสิกคือหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดแล้วนำกลับมาแก้ไขเพียงเล็กน้อยเวลาของการเลือกตั้งก็จะขยับจากเดิมเดือนกุมภาพันธ์ไปอีก 2 เดือนหมายความว่าจะสามารถไปใช้สิทธิหย่อนบัตรกันได้ในเดือนเมษายน 2562

ที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือในวรรคสามของมาตรา 148 เขียนว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นสาระสำคัญของกฎหมายให้ร่างกฎหมายนั้นตกไป และดูประเด็นที่มีชัยทักท้วงเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ต้องบอกว่าเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นวิธีการได้มาซึ่งส.ว. แปลว่า หากส่งตีความแล้วศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิดหรือขัดในสาระสำคัญ คงเห็นการยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาส.ว.กันใหม่ทั้งฉบับ ใช้เวลายืดไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นของสมชัยคนเดียวล้วนๆ แน่นอนว่าหากย้อนกลับไปถามมีชัยก็น่าจะไม่มองไปในทิศทางเดียวกัน กระนั้นก็ตาม กกต.ชายเดี่ยวยังชี้ด้วยว่า กระบวนการยื่นตีความนั้นขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเป็นจำเลยให้สังคม ระหว่าง 25 สนช.หรือพลเอกประยุทธ์ ถ้าโรดแมปต้องเลื่อนไปอีก 2-6 เดือน ส่วนมีชัยรอดไปตามระเบียบ

หากคิดตามสมชัยก็จะได้ภาพดังว่า แต่ถ้าเดาหรืออ่านใจผู้มีอำนาจ ด้วยหมากกลที่วางกันมาตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ จนมาถึงการเตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องสู่โหมดเลือกตั้ง ประกอบกับกระแสกดดันที่หนักหน่วงจากภายนอก อย่างไรเสีย คงต้องวัดดวงกันให้รู้แล้วรู้รอดภายในต้นปีหน้านี้ ถือความได้เปรียบทุกอย่างไว้ในมือ ถ้าขยับอีกรอบหนนี้อาจจะกลายเป็นการเสียรังวัดชนิดกู่ไม่กลับกันเลยทีเดียว

เปิดตัวพร้อมจดแจ้งชื่อพรรคเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ “ไพร่หมื่นล้าน” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่จับมือกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นอดีตนักวิชาการและก้าวสู่ถนนการเมืองเต็มตัว ในนาม “พรรคอนาคตใหม่” มีการประเทศอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ใช่พรรคเลือกข้าง แต่มีจุดยืน ข้างไหนที่ล้ำเส้นจุดยืนนี้ จะต่อต้านและโจมตี ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย รวมถึง ทักษิณ ชินวัตร และพลเอกประยุทธ์ ถ้าข้ามเส้นจุดยืนเมื่อไหร่จะวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านทันที

นอกจากนั้น ธนาธรยังประกาศกร้าวด้วยว่า ตราบใดพรรคอนาคตใหม่ประนีประนอมกับจุดยืนดังกล่าว ตัวเองจะเป็นคนแรกที่ลาออกเอง แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจกันเต็มที่ ในทางการเมืองต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะตัวชี้วัดความสำเร็จมันไม่ใช่แค่จุดยืนเพียงอย่างเดียว ต้องดูไปถึงผลเลือกตั้งที่ออกมา และท่าที จังหวะก้าวของแต่ละพรรคหลังการเลือกตั้งด้วย

อย่างน้อยก็คือการจับมือเพื่อตั้งรัฐบาล คำถามที่พรรคอนาคตใหม่ถูกท้าทาย แม้ธนาธรจะยืนยันหนักแน่น “เราไม่รับนายกฯคนนอก ไม่รับส่วนประกอบที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหมด” อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พรรคการเมืองใหม่พรรคนี้จะต้องเจอและไม่รู้ว่าจะเป็นจุดสลบเมื่อยามเข้าสู่โหมดหาเสียงเลือกตั้งแบบเต็มตัวแล้วหรือเปล่า

นั่นก็คือ ท่าทีอันเป็นจุดยืนส่วนตัวของปิยบุตรที่ย้ำว่า ยังคงจะเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยเป้าประสงค์เพื่อไม่ให้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง อย่างที่รู้กัน แม้จะมีเจตนาดี แต่เป็นสิ่งที่อ่อนไหว ยิ่งหากมีบางพรรคการเมืองที่ถนัดในการสร้างวาทกรรมใส่ร้ายป้ายสี นำไปขยายผลเปิดแผล จะทำให้พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นพรรคหมดอนาคตเอาได้ง่ายๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องของไทยแลนด์ โอนลี่ จริงๆ

Back to top button