COL แตกไลน์สินค้าดันกำไรโต

คุณค่าบริษัท

บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL มีการดำเนินแผนธุรกิจตามที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดว่าด้วยมีแผนขยายสาขาออฟฟิศเมทเพิ่มอีก 8 สาขาในปี 2561 จากปัจจุบันมี 68 สาขาทั่วประเทศ เพื่อจะเปิดโอกาสให้ธุรกิจออฟฟิศเมทสามารถขยายสาขาในประเทศได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเตรียมสร้างคลังสินค้าอัจฉริยะแห่งใหม่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้กลางปีนี้

นอกจากนี้ปีนี้บริษัทได้วางแผนการดำเนินงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “Accelerate Growth Beyond Boundaries” มุ่งสร้างการเติบโตโดยการขยายขอบเขตการทำธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์หลัก 2 ประการ คือ การแตกไลน์สินค้าใหม่ ได้แก่ กลุ่มที่หนึ่ง Factory Supplies อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้อุปโภคหมวดสิ้นเปลือง สำหรับธุรกิจโรงงานและอุตสาหกรรม เช่น เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ซ่อมบำรุง อุปกรณ์จราจรความปลอดภัยทั้งในและนอกอาคาร และอุปกรณ์ป้องกันร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า

กลุ่มที่สอง HORECA Supplies เครื่องมือเครื่องใช้อุปโภคหมวดสิ้นเปลือง และอุปกรณ์เพื่อการประกอบธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเครื่องบันทึกเงินสด เครื่องชงกาแฟ เครื่องทำความร้อน ชุดเครื่องครัว จาน ชาม แก้ว

กลุ่มที่สาม Medical Supplies & Equipment กลุ่มสินค้าที่เป็นประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้อุปกรณ์หมวดสิ้นเปลืองสำหรับสถานพยาบาล สถานบำบัด และคลินิกต่างๆ เช่น เครื่องวัดความดัน อุปกรณ์ในห้องผู้ป่วย หูฟังแพทย์ ถุงมือแพทย์ หน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งมีสินค้าใหม่รวมกว่า 1 หมื่นรายการ เพื่อเน้นให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มธุรกิจเฉพาะทางมากขึ้น

ส่วนเป้าหมาย…ทางบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2561 เติบโต 15% แตะระดับ 8.6 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 7.5 พันล้านบาท โดยยอดขายสินค้าผ่านออนไลน์จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ราว 1.2 พันล้านบาท

เพื่อจะให้เป็นตามผลการดำเนินงบปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 คงเติบโตแกร่ง คือ บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12,213.87 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 11,784.92 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 502.30 ล้านบาท หรือ 1.57 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 384.34 ล้านบาท หรือ 1.20 บาทต่อหุ้น

อันเป็นผลจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งรายได้จากสาขาเดิมและรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาใหม่ อีกทั้งมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนจากการผลักดันยอดขายสินค้ากลุ่ม Own Brand และมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ

รวมถึงผลจากการยุติการดำเนินกิจการออนไลน์แบบธุรกิจสู่ผู้บริโภค (Business to Consumer หรือ “B2C”) ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้ยุติการประกอบการธุรกิจดังกล่าวแล้ว ทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบจากผลขาดทุนของธุรกิจนี้อีกต่อไป และส่งผลดีต่อบริษัทในระยะยาว

และส่งผลให้บริษัทสดใสเช่นเดียวกับช่วงที่ผ่านมา ทำให้ “รายได้และกำไร” โตเสมอมา….

เช่นด้านรายได้นับตั้งแต่ปี 57 ถึงปัจจุบัน โดยปี 2557 มีรายได้รวม 9,927.85 ล้านบาท ต่อมาปี 2558 มีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 10,826.80 ล้านบาท ส่วนปี 2559 มีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 11,784.92 ล้านบาท และปี 2560 มีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12,213.87 ล้านบาท

ขณะที่ด้านกำไรสุทธิ อย่างปี 2557 มีกำไรสุทธิ 439.26 ล้านบาท ต่อมาปี 2558 มีกำไรสุทธิ 393.70 ล้านบาท ส่วนปี 2559 มีกำไรสุทธิ 384.34 ล้านบาท และปี 2560 มีกำไรสุทธิ 502.30 ล้านบาท

นับว่าบริษัทมีการบริหารจัดการดีเยี่ยม…. “รู้ว่าสิ่งไหนควร ไม่ควร” ดำเนินการ ซึ่งไม่แปลกที่บริษัทรักษารายได้และกำไรได้สม่ำเสมอ

สิ่งสำคัญเมื่อผลการดำเนินงานดีสม่ำเสมอ เรื่องปันผลก็เช่นกัน สามารถจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นมาตลอดกาล และล่าสุดมีมติการจ่ายปันผลประจำปี 2560 โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 12 เม.ย. 2561 และมีอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.80 บาทต่อหุ้น และวันที่จ่ายปันผล 30 เม.ย.2561

…

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1. บริษัท โฮลด์ โคลล์ จำกัด 112,852,000 หุ้น 35.27%
2. นายวรวุฒิ อุ่นใจ 29,323,700 หุ้น 9.16%
3. นางณัฐธีรา บุญศรี 13,832,650 หุ้น 4.32%
4. น.ส.สุกุลยา เอื้อวัฒนะสกุล 12,738,500 หุ้น 3.98%
5. น.ส.เนตรอนงค์ จิราธิวัฒน์ 11,743,700 หุ้น 3.67%

รายชื่อกรรมการ

1. นายสหัส ตรีทิพยบุตร ประธานกรรมการ
2. นายสหัส ตรีทิพยบุตร กรรมการอิสระ
3. นายสหัส ตรีทิพยบุตร กรรมการตรวจสอบ
4. นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการใหญ่
5. นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการ