ลุ้น AOT โชว์กำไรไตรมาส 2/61 แจ่ม รับไฮซีซั่น-นักท่องเที่ยวพุ่งทะลัก

ลุ้น AOT โชว์กำไรไตรมาส 2/61 ขานรับไฮซีซั่น-นักท่องเที่ยวพุ่งทะลัก ฟากโบรกฯ อัพกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2.57 หมื่นล้านบาท พร้อมให้เป้าสูงลิ่ว 82.12 บาท


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีการประเมินว่าแนวโน้มผลประกอบการของ AOT ในช่วงไตรมาส 2/61 มีโอกาสโดดเด่น เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ พร้อมมีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 61 เพิ่มขึ้น 2% เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24%

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนนำ “ซื้อ” ในราคาเป้าหมาย DCF ที่ 82.12 บาท โดยมองว่ากำไรสุทธิของ AOT ในไตรมาส 1/61 (ตุลาคม-ธันวาคม) ออกมาแข็งแกร่งที่ 6.2 พันล้านบาท (+15.9% จากปีก่อน, +3.5% จากไตรมาสก่อน) สูงกว่าประมารการ 4.5% และคิดเป็น 25% ของประมาณการทั้งปีที่ 2.45 หมื่นล้านบาท

โดยคาดว่า AOT จะมี upside เพิ่มขึ้นจาก 1) รายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยปีละ 269 ล้านบาท จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นที่ Terminal 1 ของสนามบินดอนเมือง และ 2) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการประมูลสัญญาใหม่สำหรับร้านค้าปลอดภาษี และพื้นที่ค้าปลีก (ทั้งในส่วนที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว และโครงการใหม่) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะมีอัตราส่วนแบ่งรายได้สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AOT รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/61 (ต.ค.-ธ.ค.2560) อยู่ที่ 6.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 67% จากไตรมาสก่อน ซึ่งดีกว่าที่เราและตลาดคาด

โดยจากภาพรวมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวแข็งแกร่ง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กลับมาฟื้นตัวสูง จำนวนผู้โดยสาร AOT ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 13% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/61 (ม.ค.-มี.ค.2561) ยังคงโดดเด่น เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว เรามีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 (ต.ค.2560-ก.ย.2561) ขึ้นจากเดิมเล็กน้อยราว 2% เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 77 บาท จากเดิมที่ 70 บาท

ขณะที่ยังคงคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเติบโต 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/61 (ม.ค.-มี.ค.2561) ยังคงมีทิศทางเติบโตได้ดีทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว และปีก่อนยังได้รับผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ

นอกจากนั้น คาดว่าส่วนใหญ่ยังเป็นการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีเนื่องจากรายได้ต่อผู้โดยสารของเที่ยวบินระหว่างประเทศสูงกว่าเที่ยวบินในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ความสามารถในการทำกำไรยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ด้านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT หรือ ทอท. คาดว่าผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/61 (ม.ค.-มี.ค.61) มีอัตราเติบโตที่ดีใกล้เคียงในไตรมาส 1/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) ที่มีผลประกอบการดีมาก โดยมีกำไรสุทธิเติบโต 22.23% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาที่ 6,219.52 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนผู้โดยสาร และเที่ยวบินในไตรมาส 2/61 ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1-ไตรมาส 2 งวดปี 61 เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว ซึ่งใช้ตารางบินฤดูหนาวตั้งแต่ต.ค.60-มี.ค.61 และพบว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศ และเที่ยวบินในเส้นทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

อีกทั้งยังคาดว่าจำนวนผู้โดยสารในช่วง 6 เดือนแรกของงวดปี 61 (ต.ค.60-มี.ค.61) จะเติบโตมากกว่า 10% เนื่องจากตัวเลขล่าสุด ตั้งแต่ 1 ต.ค.60 -19 มี.ค.61 จำนวนผู้โดยสารทั้ง 6 ท่าอากาศยานที่บริษัทบริหาร มีจำนวนรวม 67.4 ล้านคน เติบโต 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นจำนวนผู้โดยสารต่างประเทศ 38.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 15.8% ขณะที่จำนวนผู้โดยสารในประเทศมีอยู่ 28.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.6%

โดย 3 ท่าอากาศยานที่มียอดผู้โดยสารมากที่สุด คือ ท่าอากาศยานดอนเมืองโต 10.6% ซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารต่างประเทศโตถึง 31.2% แต่จำนวนผู้โดยสารในประเทศโตเพียง 0.6%, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนผู้โดยสาร โต 8.9% โดยมีจำนวนผู้โดยสารต่างประเทศโต 9.5% และผู้โดยสารในประเทศโต 6.1% และท่าอากาศยานภูเก็ต ยอดรวมโต 17% ซึ่งจำนวนผู้โดยสารต่างประเทศโต 24.7% ผู้โดยสารในประเทศโต 8.6% ทั้งนี้ 3 ท่าอากาศยาน คือ ภูเก็ต สุวรรณภูมิ และดอนเมือง มีสัดส่วนจำนวนผู้โดยสารรวมกันเป็น 90% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

“ผลประกอบการในไตรมาส 2 ก็ยังน่าตกใจเหมือน ไตรมาส 1 เพราะดอนเมืองเราไม่คิดว่าจะโต แต่พอ ICAO ปลดธงแดง สายการบินที่มี slot จำกัดก็เปลี่ยนจากบินในประเทศไปบินเส้นทางต่างประเทศ โดยไตรมาส 1 มีเที่ยวบินต่างประเทศโต 26% ในประเทศโตแค่ 3.6-3.7% แต่ผู้โดยสารโตถึง 40% ซึ่งเราเก็บค่าสนามบิน 700 บาท/ราย

ส่วนผู้โดยสารในประเทศโต 0.6% เก็บ 100 บาท/รายแสดงว่าเขาใช้เครื่องบินลำใหญ่มากขึ้น ในเส้นทางต่างประเทศ และในประเทศบางเส้น ในไตรมาส 2 คาดว่าจะใกล้เคียงกัน เพราะใช้ตารางบินเดียวกัน และทัวร์ศูนย์เหรียญไม่มีแล้ว ทำให้แอร์ไลน์จากจีนจะเข้ามาบิน แต่ตารางบินเต็ม ก็ไปบินช่วง off peak (ช่วงดึก) ทำให้ที่ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ มีผู้โดยสารต่างประเทศสูงขึ้น” นายนิตินัย กล่าว

นายนิตินัย กล่าวอีกว่า ด้านการเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาดำเนินการพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) และร้านค้าปลีกในท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น อาจจะเลื่อนเปิดประมูลจากเดิมคาดว่าไว้ในเดือนก.พ.-มี.ค.นี้ หลังจากมีหลายฝ่ายท้วงติงจึงได้นำข้อเสนอแนะเข้ามาพิจารณาร่างทีโออาร์ให้รอบคอบก่อนจะเปิดประมูลจริง และต้องประเมินมูลค่าโครงการมีมูลค่าเท่าใด ต้องเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่

อย่างไรก็ดี ทอท.ยังคงกำหนดต้องได้ผู้ดำเนินการใหม่ภายในสิ้นปี 61 เพื่อให้เอกชนที่ได้รับการคัดเลือกได้มีเวลาเตรียมตัว 2 ปี โดยปัจจุบัน กลุ่มคิงเพาเวอร์เป็นผู้รับสัมปทานและจะสิ้นสุดในเดือน ก.ย.63 และปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีผลตอบแทนจากพื้นที่ดิวตี้ฟรีสูงเป็นอันดับ 2 รองจากสนามบินอินชอน ซึ่งปัจจุบัน ทอท.ได้รับส่วนแบ่งรายได้ 20%ต่อปีซึ่งรับในอัตรานี้มา5-6 ปีแล้ว จากตอนเริ่มสัญญาได้ส่วนแบ่งรายได้ 15%

“ตอนนี้ให้ที่ปรึกษาดูรูปแบบการประมูลอยู่ เราจะทำให้รอบคอบจะได้ไม่ต้องมีเรื่องฟ้องร้อง เมื่อมีประเด็นงดก็ต้องเคลียร์ อย่างไรก็ดีตามกระบวนการคิดว่าน่าจะเปิดประมูลได้กลางปี 61 และน่าจะเซ็นสัญญาได้ หรืออย่างน้อยได้ตัวคนประมูลได้ก่อนสิ้นปีนี้” นายนิตินัย กล่าว

สำหรับประเด็นเปิดพื้นที่จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน (Pick up counter)นั้น ทอท.จะแยกการประมูลออกมา โดยได้ระบุชัดเจนในรายละเอียดของสัญญาว่า ผู้ที่ประมูลพื้นที่ได้จะต้องเปิดให้เอกชนรายอื่นสามารถเข้าไปใช้ได้ โดยเก็บค่าเช่าตามอัตราที่กำหนด

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT คาดว่า เตรียมจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน เม.ย. หรือ พ.ค.นี้ เพื่อขออนุมัติการลงทุนท่าอากาศยานแห่งใหม่ 2 แห่ง ที่พังงา และ ลำปาง มูลค่าลงทุนประมาณ 1.1-1.2 แสนล้านบาท เพื่อขยายศักยภาพรองรับจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบันท่าอากาศยานภูเก็ต และ ท่าอากาศยานเขียงใหม่แออัด

จากนี้จะมีการพิจารณาการรับโอนท่าอากาศยานจากกรมท่าอากาศยาน (ทย.) 2 แห่ง ซึ่งหากคณะกรรมการบริษัทอนุมัติ ก็จะต้องส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก่อน ซึ่งคาดว่าการโอน 2 ท่าอากาศยานไปยังกรมธนารักษ์ แล้ว ทอท.จะเช่าจากกรมธนารักษ์ และจ่ายอัตราผลตอบแทนเดียวกับท่าอากาศยานสุวรรภูมิ

นายนิตินัย กล่าวเพิ่มว่า สำหรับเงินลงทุนในท่าอากาศยานใหม่จะมาจากกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่มีประมาณ 5 หมื่นล้านบาท/ปี ขณะที่ในช่วง 10 ปีนี้ มูลค่าลงทุน 2.2 แสนล้านบาท โดยบริษัทจะนำมาจาก EBITDA ในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 61-63) และยังมีเงินสดในมืออีก 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเพียงพอต่อการลงทุนในช่วง 10 ปีนี้ แต่สำหรับการลงทุนท่าอากาศยานใหม่ อีกกว่า 1 แสนล้านบาท หากช่วงไหนอาจจะต้องใช้เงินลงทุนสูงก็อาจจะกู้ในประเทศเพื่อเสริมสภาพคล่อง

Back to top button