NWR แรงไม่หยุด 2 สัปดาห์พุ่งกว่า 22% ลุ้นปีนี้พลิกมีกำไร-โบรกฯแนะถือเป้า 1.30 บ.
NWR แรงไม่หยุด 2 สัปดาห์พุ่งกว่า 22% ลุ้นปีนี้พลิกมีกำไร-โบรกฯแนะถือเป้า 1.30 บ. โดย ณ เวลา 11.20 น. อยู่ที่ระดับ 0.83 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 5.06% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3.96 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ณ เวลา 11.20 น. อยู่ที่ระดับ 0.83 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 5.06% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3.96 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งแรงตลอด 2 สัปดาห์ โดยเทียบตั้งแต่หุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 0.68 บาท เมื่อวันที่ 9 มี.ค.61จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 22.06%
ก่อนหน้านี้นายปสันน์ สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้คาดจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 202.81 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแนวโน้มจะได้เงินชดเชยโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่านทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ของกิจการร่วมค้า NVPSKG รวมมูลค่าราว 1 พันล้านบาท ซึ่งน่าส่งผลให้บริษัทจะมีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามยังต้องรอคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ซึ่งจะเป็นศาลสุดท้ายที่จะมีการพิจารณาคดีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 แต่อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทฯ ยังคงนโนบายเข้าไปรับงานที่มีมาร์จิ้นสูง และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ที่ 6-8% จากปีก่อนอยู่ที่ 6.62% เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงมีการแข่งขันสูง จากงานภาครัฐที่มีออกมาค่อนข้างน้อย แต่คาดว่าในไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป ภาพการแข่งขันน่าจะเบาบางลงได้ จากงานโครงการต่างๆ ที่เป็นงานโครงการขนาดใหญ่จะมีออกมาค่อนข้างมาก ขณะที่จำนวนผู้รับเหมาไม่มาก
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 9.34 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 50% และยังอยู่ระหว่างติดตามงานใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมอีก โดยตั้งเป้ามีงานในมือ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเข้าประมูลงานภาครัฐเป็นหลัก โดยคาดว่าภาครัฐน่าจะมีการเปิดประมูลโครงการ ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป และจะมีการเข้าไปรับงานภาคเอกชนมากขึ้นด้วยเพื่อลดความเสี่ยงของงานภาครัฐที่ยังคงออกมาน้อย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐ 90% และภาคเอกชน 10% และแบ่งเป็นประเภทงานจะมีสัดส่วนรายได้มาจากงานรับเหมาก่อสร้าง 85%, ผลิตภัณฑ์คอนกรีตและเหล็ก 5% และอสังหาริมทรัพย์ 10%
นายปสันน์ กล่าวถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าปีนี้รายได้น่าจะทำได้ 700-1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มียอดขายรอโอนอยู่ที่ 4-5 พันล้านบาท และยังมีโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขาย มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท โดยปีนี้บริษัทฯ ยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มเติม แต่อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม
ส่วนธุรกิจอาหาร ยังคงมีสัดส่วนรายได้ที่น้อย หรือคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาขยายสาขาร้านอาหารไปยังต่างประเทศเพิ่มเติม โดยมีความสนใจที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งคาดว่าในอนาคตธุรกิจอาหารน่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการไตรมาส4/60 ขาดทุนหนัก 137 ล้านบาท จากรายการพิเศษ ขาดทุนบางโครงการ และ ค่าใช้จ่ายของบริษัทใหม่ ปีนี้ตั้งเป้าหมายจะได้งานใหม่ 1.3 หมื่นล้านบาท หลังจากปีก่อนได้งานใหม่เพียง 5,402 ล้านบาท ซึ่งปีนี้จะมีโครงการภาครัฐบาลออกมาประมูลมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสอง คาดไตรมาส1/61 จะขาดทุนต่อแต่จะขาดทุนน้อยลง หลังจากนั้นคาดจะฟื้นตัวเป็นบวก แต่กำไรจะยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 1.30 บาท คงคำแนะนำถือ หรือ ชะลอการลงทุนไปก่อน รอสัญญาณการฟื้นตัวราคาเป้าหมาย 1.30 บาท/หุ้น