พาราสาวะถี
ประเดิมประชุมภายใต้การอนุญาตของคสช.เป็นพรรคการเมืองแรก สำหรับพรรคใหม่ที่ไปยื่นจดแจ้งกับกกต.นั่นก็คือ พรรคทางเลือกใหม่ ที่มี ราเชน ตระกูลเวียง อดีตประธานกปปส.นนทบุรีเป็นแกนหลัก โดยใช้โรงแรมริเวอร์ไซด์เป็นสถานที่จัดประชุม หลังการประชุมสมาชิกก็เลือกราเชนเป็นหัวหน้าพรรค มี ไพโรจน์ กระทุ่มทองเลิศ เป็นเลขาธิการพรรค ชูสโลแกน “กล้าคิด กล้านำ ทำจริง”
อรชุน
ประเดิมประชุมภายใต้การอนุญาตของคสช.เป็นพรรคการเมืองแรก สำหรับพรรคใหม่ที่ไปยื่นจดแจ้งกับกกต.นั่นก็คือ พรรคทางเลือกใหม่ ที่มี ราเชน ตระกูลเวียง อดีตประธานกปปส.นนทบุรีเป็นแกนหลัก โดยใช้โรงแรมริเวอร์ไซด์เป็นสถานที่จัดประชุม หลังการประชุมสมาชิกก็เลือกราเชนเป็นหัวหน้าพรรค มี ไพโรจน์ กระทุ่มทองเลิศ เป็นเลขาธิการพรรค ชูสโลแกน “กล้าคิด กล้านำ ทำจริง”
ก่อนที่หัวหน้าพรรคจะลั่นวาจาขออาสาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง พร้อมตั้งเป้าได้ที่นั่งส.ส. 50 เสียงเป็นอย่างน้อย และจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นไม่เป็นฝ่ายค้าน อะไรคือความอหังการของพรรคที่เพิ่งเริ่มเตาะแตะ หรือเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าเป็นอดีตกปปส.ที่มีมวลมหาประชาชนสนับสนุนหลายสิบล้านตามคำประกาศของแกนนำเวลานั้น (ฮา)
หรืออีกด้านคือมีน้ำเลี้ยงดี เนื่องจากประกาศสนับสนุนทั้งตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกฯต่อ พร้อมยกมือเชียร์สารพัดนโยบายของรัฐบาลเผด็จการอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ก็อีกนั่นแหละ ความเป็นพรรคการเมืองมันจะมาอ้อยอิ่ง เปิดตัวแบบหงอๆ เหงาๆ ไม่ได้ มันต้องกระตุ้นให้สมาชิกฮึกเหิม เพราะความเป็นจริง เอาแค่พื้นที่ของว่าที่หัวหน้าพรรคเอง ให้ฝ่าด่านอดีตส.ส.เก่าและแนวร่วมอีกด้านที่ยังคงแข็งโป๊กให้ได้เสียก่อน
ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่เริ่มได้เห็นพรรคการเมืองเกิดใหม่เริ่มทำกิจกรรมและนำไปสู่การจดตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางคสช.คงจะทยอยอนุญาตให้ประชุมกันได้ ส่วนพรรคเก่าวานนี้ได้เข้าร่วมประชุมกับกกต.กันอย่างคึกคัก แต่ปัญหาก็คือ หลายข้อคำถามโดยเฉพาะการปลดล็อกให้ทำกิจกรรม ศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ได้แต่รับเพื่อประสานไปยังคสช.ขอคำตอบอีกที สิ่งที่ทำจึงเป็นเพียงงานตามหน้าที่ไม่มีอำนาจชี้ขาดใดๆ
ทุกอย่างว่ากันตามปฏิทิน โดยมีสองพรรคการเมืองใหญ่ที่จะต้องเช็คชื่อบรรดาอดีตส.ส.ของตัวเองว่า ยังอยู่ครบ พร้อมจะสู้กันต่อหรือไม่ ฝั่งเพื่อไทยนัดหมายไว้ 4 เมษายนเป็นการรายงานตัวเบื้องต้น โดยยกเอาการรดน้ำขอพรช่วงเทศกาลสงกรานต์มาเป็นงานเรียกแขก แน่นอนว่า งานนี้คงจะได้เห็นคร่าวๆ ใครอยู่ใครไป แต่จะรู้กันชัดก็ต้องหลังจากสิ้นเดือนเมษายนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคการเมืองใหม่ที่ทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง มีการโผล่ชื่อของพรรคประชาชาติ ตามที่มีการระบุว่าเป็นพรรคใหม่ของกลุ่มวาดะห์ โดยพรรคใหม่ดังกล่าวตามภาษาอาหรับคือพรรคอุมะห์ หากเป็นไปตามที่มีรายงานข่าว นั่นก็คือ กลุ่มวาดะห์กำลังวางเป้าหมายไปในการกวาดส.ส.ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดยยึดเอาผลจากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเฉลี่ยร้อยละ 60 ลงมติไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญ จากผู้มีสิทธิ์กว่า 1 ล้านเสียง หากประเมินจากผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กับวิธีคิดคะแนนจากการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว จะพบว่าจำนวนของคนที่ส่งสัญญาณผ่านประชามตินั้น จะแปรสภาพเป็นเสียงส.ส.ของกลุ่มวาดะห์ไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง
ตามรายงานข่าวแม้จะยังแทงกั๊ก แต่วงในเป็นที่รู้กันดีงานนี้ วันมูหะมัดนอร์ มะทา แกนนำกลุ่มวาดะห์ได้รับไฟเขียวจากแดนไกล แยกไปตั้งพรรคของตัวเองได้ เป้าหมายคือการกวาดคะแนนเสียงจากประชาชนปลายด้ามขวาน โดยบางเรื่องอาจจำเป็นต้องด่า ทักษิณ ชินวัตร โชว์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นพวกทักษิณนี่แหละ ที่จะกลายเป็นจุดอ่อนทำให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีเพื่อดิสเครดิตในช่วงเลือกตั้งได้
จะว่าไปแล้วโจทย์สำหรับพรรคการเมืองไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นอกจากจะต้องตรวจสอบฐานเสียงของตัวเอง ดูทิศทางลม ประเมินคะแนนเสียงจากวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่แล้ว ยังต้องดูปัจจัยอื่นซึ่งในที่นี้หมายถึงการเตะตัดขาจากคู่แข่งด้วย และหากเป็นคู่แข่งอันเป็นแนวร่วมของผู้มีอำนาจ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า บรรดาพรรคใหม่ที่กำลังจดแจ้งและรอเข้าสู่กระบวนการเวลานี้ เมื่อถึงที่สุดแล้วจะเหลือรอดไปกี่พรรค จะเป็นพรรคที่มีพลังในการต่อสู่อยู่เท่าใด อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นของ สุริยะใส กตะศิลา บอกว่าการเปิดตัวที่เกิดขึ้นไม่คึกคักเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวหลังรัฐธรรมนูญปี 2540
พร้อมมีคำอธิบายว่า ช่วงนั้นดูคึกคักและมีกลุ่มก้อนทางการเมืองหน้าใหม่ๆ เปิดตัวเข้าสู่การเมืองกันมากกว่านี้ และกระแสปฏิรูปการเมืองหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 สูงมาก ประชาชนมีความหวังจากพรรคการเมืองและองค์กรใหม่ๆ ทางการเมือง ความจริงไม่รู้ว่าสุริยะใสลืมไปหรือเปล่าว่า หนนั้นมันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน มันเทียบกันไม่ได้เลยกับรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการคสช.
น่าเสียดายที่สุริยะใสใจไม่ใหญ่พอต่อการจะยอมรับความเป็นจริงว่า เมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนโบกมือดักกวักมือเรียกให้อำนาจเผด็จการมาครองเมืองถึงสองครั้งสองหน แล้วฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไป มันจะทำให้ประชาชนมีความคึกคักและอยากมีส่วนร่วมได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างถูกจับมัดมือมัดเท้าทั้งหมด มิหนำซ้ำ ช่วงก่อนการลงประชามติก็มีการปิดปากไม่ให้ฝ่ายเห็นต่างแสดงความเห็นหรือชี้จุดด้อยของรัฐธรรมนูญอีกต่างหาก
นอกจากจะไม่รับผิดชอบแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างสุริยะใสยังจะมีหน้าไปเรียกร้องทุกพรรคการเมืองทั้งพรรคเก่าและพรรคใหม่ควรคำนึง การทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้านำไปสู่ความปรองดองในสังคมไม่ใช่เอาสนามเลือกตั้งเป็นเวทีเผชิญหน้ายกใหม่ และจะเอาการเมืองออกจากความขัดแย้งแตกแยกได้อย่างไร รวมทั้งการปฏิรูปประเทศที่เป็นรูปธรรมเพื่อไม่ให้การเมืองวนอยู่ในกับดักความขัดแย้งเดิมๆ
ต้องยอมรับอาการอย่างหนาของคนพวกนี้จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มองเห็นอนาคตของประเทศได้เป็นอย่างดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าพรรคเก่าหรือพรรคใหญ่ 2 พรรคจะยังเป็นปฏิปักษ์กันหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่ากับดักทั้งหลายที่วางกันไว้นั้น เป็นการปูทางให้ประเทศไปสู่การปฏิรูปเพื่อก้าวหน้าหรือถอยหลัง และเป็นการเดินไปบนถนนสายประชาธิปไตยหรือแค่เผด็จการจำแลงที่แปลงกายผ่านการฟอกขาวโดยการอ้างว่าเป็นตัวแทนที่ผ่านการเลือกมาจากประชาชนแล้วเท่านั้น