BCPG น่าเก็บ! 2 เดือนร่วงหนักเกิน 30% โบรกฯชี้แผนลดรับซื้อไฟฟ้า-ค่าไฟไม่กระทบธุรกิจ

BCPG น่าเก็บ! 2 เดือนร่วงหนักเกิน 30% โบรกฯชี้แผนลดรับซื้อไฟฟ้า-ค่าไฟไม่กระทบธุรกิจ ด้านผู้บริหารปักธงกำไรปีนี้โตเด่นต่อเนื่อง โดยหุ้นปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ที่ระดับ 20.50 บาท ลบ 0.90 บาท หรือ 4.21% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 611.02 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ปิดตลาดภาคเช้าปิดที่ระดับ 20.50 บาท ลบ 0.90 บาท หรือ 4.21% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 611.02 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอด 2 เดือน ที่ผ่านมาโดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ  27.50 บาท เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 61 จนถึงล่าสุดหุ้นร่วงแล้ว 34%

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า (-) กลุ่มโรงไฟฟ้า Renewable หากรัฐบาลมีการลดการรับซื้อและลดค่าไฟคาดว่าหุ้น โรงไฟฟ้าที่ Cover (BCPG GPSC GULF ฯลฯ) จะไม่กระทบเพราะส่วนใหญ่ วางแผนจะไปขยายที่ต่างประเทศกันหมดแล้ว แต่กลุ่มรับก่อสร้าง โดยเฉพาะ EPC ที่เชื่อมโยง คาดเป็นลบ เพราะรายได้จากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า Renewable ใหม่ในประเทศจะลดลง

อนึ่งก่อนหน้านี้ รมต.กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ไม่มีแผนรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ในช่วง 5 ปีนี้ยกเว้นราคาเท่าหรือต่ำกว่าที่ กฟผ.ขายส่ง 2.40 บาทต่อหน่วย

ด้านนายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 2561 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2560 เนื่องจากจะเป็นการเติบโตจากโครงการที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเข้ามาเพิ่มเติม และจากโครงการเดิมที่จ่ายไฟฟ้าอยู่แล้ว

โดยในปี 2561 จะรับรู้ผลตอบแทนการลงทุนแบบเต็มปี จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย มีขนาดกำลังการผลิตรวม 182 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ ขนาดกำลังผลิต 50 MW

ขณะที่ยังจะมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ (COD) อีกจำนวนรวม 53 MW ได้แก่ โครงการโซลาร์ฟาร์ม โกเทมบะ ที่ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังผลิต 4 MW ซึ่งจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในไตรมาส 1/2561 และโครงการโซลาร์ฟาร์ม สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ ขนาดกำลังการผลิต 9 MW จะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบกลางปี 2561 และโครงการ Yabuki กำลังการผลิต 20 MW คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบช่วงไตรมาส 4/2561 อีกทั้งโครงการ Chiba 1 ที่ประเทศญี่ปุ่น มีกำลังการผลิต 20 MW กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 4/2561

ดังนั้นจากโรงไฟฟ้าที่จะทยอยจ่ายไฟเข้าสู่ระบบดังกล่าว บริษัทยังคงเป้ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) จะเติบโตประมาณ 15-20% จากงวดปี 2560 นอกจากนี้บริษัทยังมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งรูปแบบที่ดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยตั้งเป้าภายในปี 2561 จะมีกำลังการผลิตจากโครงการใหม่ 100 MW ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2561 โดยกำหนดงบลงทุนอยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการที่จะเกิดขึ้นใหม่

ขณะที่ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปในประเทศ จำนวน 30-50 MW โดยจะเป็นการขายระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นในกลุ่มลูกค้าอุตสาหรรมต่างๆ เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI สถานีบริการน้ำมันบางจาก และอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

Back to top button