HTC วิ่งฉิวเกือบ 5% ทะลุ 28 บ. แรงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ ลุ้นกำไรปีนี้ทำ “ออลไทม์ไฮ”
HTC วิ่งฉิวเกือบ 5% ทะลุ 28 บ. แรงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ ลุ้นกำไรปีนี้ทำ "ออลไทม์ไฮ" โดยปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 28.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 4.63% สูงสุดที่ 28.75 บาท ต่ำสุดที่ 27 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.17 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 28.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 4.63% สูงสุดที่ 28.75 บาท ต่ำสุดที่ 27 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.17 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น HTC ปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2531
พล.ต.พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.หาดทิพย์ HTC คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะสูงสุดทำสถิติใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 283.3 ล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้ปีนี้ที่คาดว่าจะมีการเติบโต 4-6% จากระดับ 5.69 พันล้านบาทในปีก่อน
โดยบริษัทฯยังคงเน้นกระจายสินค้าให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ภาคใต้ เพื่อที่จะให้ตอบรับความต้องการที่ขยายตัวตามนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น ประกอบกับปีนี้อากาศร้อนมาก ซึ่งเมื่อเวลาที่อากาศร้อนจะทำให้ยอดขายของบริษัทฯขยายตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้บริษัทฯยังเตรียมที่จะนำแบรนด์สินค้าใหม่อีก 1-2 แบรนด์เข้ามาจำหน่าย ในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่ปัจจุบันบริษัทฯมีการนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 14 แบรนด์ และจำนวนรวมกว่า 100 SKU
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบลงทุนปกติ ที่ใช้ในการขยายจำนวนรถขนส่งสินค้า รวมถึงการซื้อตู้เย็นโค้กให้กับร้านค้าปลีกต่างๆ
“ปีนี้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯจะขึ้นไปอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อนที่ 4.98% ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมกับธุรกิจที่จะสามารถขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยการเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการปรับระดับน้ำตาลในเครื่องดื่มให้รองรับภาษีน้ำตาลที่บังคับใช้ ประกอบกับราคาน้ำตาลได้ปรับตัวลดลง 2 บาท/กก.จะลดต้นทุนในปีนี้ได้ราว 30-50 ล้านบาท ด้วย” พล.ต.พัชร กล่าว
นอกจากนี้ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของบริษัทฯใน 3 ปี (61-63) ตั้งเป้ารายได้ปี 63 จะไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท โดยบริษัทฯยังคงที่จะนำแบรนด์สินค้าใหม่ๆเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง จากที่โคคา-โคลา คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีแบรนด์ทั้งหมดราว 500 แบรนด์ รวม 2,000 SKU ที่ยังสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้ด้วย โดยจะเน้นไปในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นหลัก
นอกจากนี้บริษัทฯจะมีการพิจารณาลงทุนเครื่องจักรสำหรับไลน์การผลิตใหม่ในปี 62 เพื่อที่จะรองรับการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องในอนาคต เบื้องต้นจะใช้งบลงทุนราว 7-8 ล้านยูโรต่อไลน์การผลิต