5 โบรกฯฟันธง! 12 หุ้นลงทุนรับเดือนเม.ย.เน้นงบฯ Q1 หรู-ปันผลสูง

5 โบรกฯฟันธง! 12 หุ้นลงทุนรับเดือนเม.ย.เน้นงบฯ Q1 หรู-ปันผลสูง อาทิ COM7,IRPC,ROBINS,RS, SF,HANA,CPF, IVL, HTC,BIG,SNC และCENTEL


เข้าสู่การลงทุนเดือนเมษายน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุน พร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 5 แห่ง ประกอบด้วย บล.เอเซีย พลัส,บล.ทิสโก้,บล.เคจีไอ,บล.กรุงศรี,บล.เออีซี โดยทั้ง 5 แห่งมองกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ว่า SET Index จะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้น

ดังนั้นในเดือนนี้จึงเน้นเลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/61 จะออกมาดีและหุ้นพื้นฐานที่ราคาอ่อนตัวลงมามากแล้วเริ่มมี downside จำกัด มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน  โดยกลุ่มหุ้นที่โบรกเกอร์แนะนำมีทั้งหมด 12 ตัว  อาทิ COM7,IRPC,ROBINS,RS, SF,HANA,CPF, IVL, HTC,BIG,SNC และ CENTEL ตามบทวิเคราะห์ดังนี้

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีเปิดการเจรจาการค้าต่อกัน แต่เรายังมีมุมมองระมัดระวังต่อประเด็นสงครามการค้าอยู่ เนื่องจาก (1) ความไม่แน่นอนของผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะออกมาในรูปแบบใด จะจบสวยอย่างที่ตลาดมองไว้หรือไม่ (2) ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ในอนาคต อาจสร้างการกีดกันการค้ากระจายไปยังประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อีกหรือไม่ เพราะหากบานปลายจนเป็นสงครามการค้าโลก จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (3) แนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เพราะการจัดเก็บภาษี จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และเป็นผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด

สำหรับประเด็นการเมือง กำลังรอเกิดความชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยมอง 2 ประเด็นที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อโรดแมปการเลือกตั้งว่าจะเลื่อนออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้าหรือไม่ คือ (1) การยืนยันสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม และ (2) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายลูกที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ในประเด็นแรกมองไม่เพียงแต่จะเป็นการหยั่งฐานคะแนนเสียงประชาชนของแต่ละพรรคการเมืองในเบื้องต้นแล้ว ยังรวมถึงอดีต ส.ส. เก่าหลายคนจะยืนยันอยู่พรรคเดิมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนย่อมมีผลต่อการคาดคะเนพรรคที่มีโอกาสจะชนะการเลือกตั้ง และน่าจะเป็นปัจจัยผันแปรสำคัญที่จะมีผลต่อคำสั่งของคสช.ในอนาคตว่าจะปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมเพิ่มได้หรือไม่ด้วย ส่วนประเด็นที่สอง

เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยไม่นานจนล่วงเลยไปถึงเดือน มิ.ย. โดยหากคำวินิจฉัยออกมาว่า ร่างพ.ร.ป.อย่างน้อยฉบับใดฉบับหนึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ โรดแมปการเลือกตั้งที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้าก็เป็นไปได้ยากแล้ว แม้ว่าขณะนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่การเลือกตั้งอาจ “เลื่อน” ออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้า แต่มองก็ยังดีกว่าเกิดการเลือกตั้งขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้า (ไม่เลื่อน) แล้วถูก “ล้ม” (ทั้งยืน) ทีหลัง จากการบังคับใช้เป็นกฎหมายไปแล้วแต่ถูกร้องว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีนี้จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย

ในเดือนนี้เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรไตรมาส1/61 จะออกมาดี (โต YoY) แนะนำ COM7, IRPC, RS, SF และหุ้นพื้นฐานที่ราคาอ่อนตัวลงมามากแล้วเริ่มมี downside จำกัด มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน แนะนำ ROBINS เพราะฉะนั้นหุ้นที่แนะนำในเดือน เม.ย. คือ COM7, IRPC, ROBINS, RS และ SF ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1750-60, 1735-40, 1710-20 และ 1785-90, 1810 จุด ตามลำดับ

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลยุทธ์การลงทุนเดือน เม.ย. คาดต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่มีปัจจัยบวกจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% เป็นบวกต่อสินค้าไทยที่จีนอาจหันมานำเข้าจากไทยแทน เช่น หมู ดีต่อ CPF…Top picks เลือก HANA (FV@B46) และ CPF (FV@B30)

โดยวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียหยุดทำการเนื่องจากเป็นวัน “Good Friday” แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมพบว่า ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่าอีก 113 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 67 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ตรงข้ามกับเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 155 ล้านเหรียญ และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 26 ล้านเหรียญ หรือ 798 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ต่างกับสถาบันฯที่สลับมาซื้อสุทธิ 1.38 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิวันเดียว)

สรุป Fund Flow เดือน มี.ค. 60 พบว่า หลากหลายปัจจัยภายนอกกดดันตลาดหุ้น ทั้งการกีดกันการค้าและความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ส่งผลให้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคทุกประเทศ ด้วยมูลค่ารวม 4.25 พันล้านเหรียญ กดดันให้ปีนี้ขายสุทธิสะสมไปแล้ว 7.87 พันล้านเหรียญ (ytd) เช่นเดียวกับไทยที่ถูกขายสุทธิในเดือน มี.ค. 1.10 หมื่นล้านบาท กดดันตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 1.67% (mtd) (รายละเอียดดังตารางทางด้านล่าง)

ส่วนแนวโน้ม Fund Flow ในเดือน เม.ย. ตราบที่ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ เชื่อว่ายังมีแรงขายต่างชาติยังมีต่อเนื่อง แต่น่าจะมีแรงซื้อสลับเข้ามาบ้างเป็นบางช่วง ตามสถิติย้อนหลัง 10 ปี ที่ต่างชาติซื้อสุทธิเฉลี่ยเล็กน้อย 2.27 พันล้านบาท และเป็นการซื้อสุทธิเพียง 6 ใน 10 ปี อีกทั้ง SET Index ยังมีโอกาสถูกกดดันจากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่ กว่า 10 จุด ในเดือนนี้ เช่น SCC (XD 4 เม.ย.), ADVANC (XD 5 เม.ย.), SCB (XD 17 เม.ย.), BBL (XD 23 เม.ย.)  เป็นต้น

 

บล.กรุงศรี จำกัด  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เดือน เม.ย. คาด SET Index มีโอกาสฟื้นตัวหลังจากที่ดัชนีปรับฐานไปแล้วในเดือนที่ผ่านมาและคาดว่านักลงทุนจะเข้าซื้อเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะประกาศงบไตรมาส1/61 ออกมาดีกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตามคาดการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากมีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกานต์ และยังมีแรงกดดันจากการขึ้น XD ของบริษัทจดทะเบียนอาทิ SCC และ กลุ่มธนาคาร กลยุทธ์เดือนนี้ ยังเน้น Selective หุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/61 จะออกมาดี โดยมี Top Pick เดือน มี.ค. คือ IVL (ซื้อ/เป้า 75), HTC(ซื้อ/เป้า 35 ), BIG(ซื้อ/เป้า 4), SNC(ซื้อ/เป้า 22) และ CENTEL (ซื้อ/เป้า 54)

 

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เดือน เม.ย. ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนสูงและทิศทางลงเป็นต่อ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ อีกทั้งยังถูกแรงกดดันจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนหาก SET ปิดหลุด 1,760 จุด แนะนำ Stop Loss และ Wait &See เนื่องจากมองดัชนีมีโอกาสแกว่งลงไปทดสอบระดับ 1,730 จุด แต่หากดัชนียังสามารถปิดยืนเหนือระดับ 1,760 จุด แนะนำ “ขึ้นขาย ลงซื้อ โดยไม่ไล่ราคา” ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้

1) หุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงส์ราคาน้ำมันยังทรงตัวสูงและไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ : PTT, PTTEP

2) หุ้น ธพ. ซึ่งคาดราคาจะเริ่มฟื้นตัว หลังสัปดาห์ก่อนปรับลงแรงจากกังวลสงครามค่าฟี : KBANK, SCB, BBL, TMB

3) หุ้น Domestic Play ที่ยังโตแกร่ง พร้อมเป็นหลุมหลบภัย : BCH, RJH, MINT, ERW

4) หุ้นจ่าย Div. Yield เกิน 3% โดยจะขึ้น XD เม.ย.-พ.ค. นี้ : KKP, AIT, SC, AP, LH

Back to top button