TOP มั่นใจปีนี้พลิกมีกำไร มองโอกาสร่วมลงทุน-ซื้อกิจการในตปท.
TOP มั่นใจปีนี้พลิกมีกำไร หลังธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มดีขึ้น มั่นใจ GIM ใน Q2/58 อยู่ในเกณฑ์ดี ยังมองโอกาสร่วมลงทุน-ซื้อกิจการในตปท. ลุ้นธุรกิจโซลเว้นท์ในมาเลเซีย-อินโดฯ ตั้งงบลงทุนในช่วงปี 58-61 ราว 1.8 หมื่นลบ.
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิหลังราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวทำให้กลับมามีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) ยังอยู่ในระดับที่ดี และธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ที่น่าจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 และคาดว่าปริมาณการผลิตใหม่ในตลาดโลกจะเริ่มลดลงในปี 59-60 พร้อมมองหาโอกาสการร่วมลงทุนหรือซื้อกิจการต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโซลเว้นท์ในมาเลเซียและอินโดนีเซีย
โดยคาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ในไตรมาส 2/58 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่มี GIM รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันที่ 7.4 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่าแนวโน้มของค่าการกลั่น (GRM) ในไตรมาส 2 จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย หลังราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น แต่ GRM ก็ยังนับว่าสูงต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันที่ขึ้นมายืนเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้บริษัทพลิกมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจากที่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/58
รวมถึงยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 หลังจากที่สเปรด PX มีแนวโน้มดีขึ้น โดยนับตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบันสเปรด PX เฉลี่ยอยู่ที่ 279 ดอลลาร์/ตัน เท่ากับค่าเฉลี่ยทั้งปีที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/58 ที่ระดับ 255 ดอลลาร์/ตัน หลังจากลงไปทำระดับต่ำสุดเมื่อเดือนเม.ย.57 ที่ระดับ 180 ดอลลาร์/ตันจากเหตุระเบิดโรงงาน PX ในจีนเมื่อเร็วๆนี้ แต่ยังต้องจับตาว่าโรงงานดังกล่าวจะกลับมาผลิตได้ตามเป้าหมายในต้นไตรมาส 4/58 หรือไม่ รวมถึงกำลังผลิตใหม่ของโรงงาน PX ของบริษัทในอินเดียขนาด 2 ล้านตัน/ปีที่จะเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นปริมาณการผลิตส่วนใหญ่จะใช้ในโรงงาน PTA ของกลุ่มบริษัทดังกล่าว
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบ ล่าสุดยืนเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งบริษัทยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ที่ 60-73 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้จะทำให้ GRM แคบลงแต่ก็เชื่อว่ายังอยู่ในระดับสูง จากความต้องการใช้ในปัจจุบันที่ยังเติบโตจากราคาน้ำมันที่ลดลง และราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นยังจะทำให้บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมันในปีนี้ด้วย ขณะที่ในส่วนของธุรกิจกลั่นน้ำมันของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมีการใช้กำลังการกลั่นราว 98-100% แม้หยุดซ่อมบำรุงหน่วย FCC (Fluid Catalytic Cracking) เป็นเวลา 1 เดือนในกลางเดือนพ.ค.ขณะที่ในปีที่แล้วใช้กำลังการกลั่นราว 98% หลังได้หยุดซ่อมบำรุงใหญ่หน่วยกลั่นน้ำมันดิบหน่วยที่ 3
ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีชึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 หลังจากที่สเปรด PX และ เบนซีนปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรด PX ปรับลดลงอย่างรุนแรงตั้งแต่ปีที่แล้วจากปริมาณการผลิตที่ล้นตลาด แต่คาดว่าปริมาณการผลิตใหม่ของ PX ในตลาดโลกจะเริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงปี 59-60 ขณะที่สเปรดเบนซีนกลับขึ้นมาอยู่ระดับ 193 ดอลลาร์/ตันในช่วงเดือนเม.ย. หลังจากที่ปรับลดลงไปต่ำสุดตั้งแต่ปี 51 มาแตะระดับ 56 ดอลลาร์/ตันในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณการผลิตในตลาดลดลง แต่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้คาดว่าการใช้กำลังการผลิตของอะโรเมติกส์ในไตรมาส 2/58 จะขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 80% จาก 66% ในไตรมาสแรก หลังจากที่สเปรดผลิตภัณฑ์ของ PX และเบนซีนปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยังเชื่อว่า PX ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นทางในการผลิตสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ ซึ่งเป็นปัจจัยสี่ทำให้ตลาดยังมีความต้องการอยู่ แม้ปัจจุบันจะถูกกดดันปริมาณการผลิตที่ล้นตลาดอยู่ก็ตาม ทำให้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าธุรกิจกลั่นน้ำมันจะยังเป็นธุรกิจที่โดดเด่นของบริษัทอยู่
นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นของบริษัทยังเติบโตได้ดี โดยธุรกิจไฟฟ้าดีขึ้นจากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง และธุรกิจโซลเว้นท์ก็ดีขึ้นหลังจากราคาน้ำมันเริ่มนิ่ง ทำให้ผู้ประกอบการหันมาเก็บสต็อกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจเอทานอลอยู่ในเกณฑ์ดีจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงเช่นกัน และธุรกิจกองเรือมีค่าระวางเรือสูงขึ้น ตามความต้องการใช้เรือเพิ่มเพื่อซื้อน้ำมันเก็บสต็อกไว้ในช่วงที่ราคาลดลง
ขณะที่บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายงานด้วยการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในต่างประเทศ มองว่ามีโอกาสที่จะขยายงานในส่วนของกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายสารละลาย(โซลเว้นท์) จากปัจจุบันที่มีอยู่ในไทยและเวียดนาม โดยมองโอกาสการขยายไปยังมาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องจากตลาดค่อนข้างดีและมีการเติบโตสูง ซึ่งการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจะใช้วงเงินไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการร่วมทุนกับเปอร์ตามิน่าในการผลิตผลิต WAX ในอินโดนีเซียด้วย
ส่วนแผนการลงทุนในช่วงปี 58-61 จะใช้เงินลงทุนราว 543 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการแล้ว โดยมีโครงการลงทุนสำคัญ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 239 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 498 ตัน/ชั่วโมง ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/59 ขณะที่เงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนในโครงการผลิตสาร LAB (Linear Alkyl Benzene) ขนาด 1 แสนตัน/ปี ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าแล้ว 92% และโครงการจะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 58
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพระบบลองเรสซิดิว (long residue) เพื่อเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตามาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันใสที่มีมูลค่าเพิ่ม จากปัจจุบันที่การกลั่นน้ำมันจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาออกมาราว 7-8% ของกำลังการผลิต โดยคาดว่าจะเลือกเทคโนโลยีได้ในช่วง มิ.ย.นี้ ซึ่งการจะเปลี่ยนน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันใสมากขึ้นนั้น ทำให้ต้องศึกษาตลาดของน้ำมันใสในภูมิภาคนี้ประกอบกับกันด้วย โดยหากเห็นว่ายังมีความต้องการมากพอก็ทำให้เห็นโอกาสการเปลี่ยนหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ(CDU) หน่วยที่ 1 และ 2 ที่มีอายุราว 50 ปีไปพร้อมกันทีเดียว ซึ่งหากจะเป็นการสร้าง CDU ใหม่ทดแทนก็อาจจะมีขนาดราว 2 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันที่ระดับ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน