พาราสาวะถี

ถือเป็นมวยถูกคู่คนดูถูกใจ ถ้าไม่ใช่ปาหี่นี่ก็เป็นประเภทนักมวยที่เคยซ้อมค่ายเดียวกันมา และเชื่อว่าตามเส้นทางไม่น่าจะโคจรมาพบกัน แต่ด้วยพลังแห่งอำนาจสุดท้ายมันจึงหนีกันไม่พ้น ที่ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของวงการหมัดมวยแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องของการเมืองระหว่างผู้มีอำนาจอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับอดีตผู้สนับสนุนหลักให้เกิดการรัฐประหารอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


อรชุน

ถือเป็นมวยถูกคู่คนดูถูกใจ ถ้าไม่ใช่ปาหี่นี่ก็เป็นประเภทนักมวยที่เคยซ้อมค่ายเดียวกันมา และเชื่อว่าตามเส้นทางไม่น่าจะโคจรมาพบกัน แต่ด้วยพลังแห่งอำนาจสุดท้ายมันจึงหนีกันไม่พ้น ที่ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของวงการหมัดมวยแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องของการเมืองระหว่างผู้มีอำนาจอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับอดีตผู้สนับสนุนหลักให้เกิดการรัฐประหารอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

กาลครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงท่าทีหลับหูหลับตาเชียร์ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะส่งผลถึงพรรคเก่าแก่ให้ได้รับอานิสงส์แห่งการรัฐประหารของเผด็จการคสช. แต่พลันที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้พร้อมการคลอดกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องและอีก 2 ฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง พลพรรคชั้นเชิงสูงเห็นกันจะจะว่าไม่ได้รับผลบุญใดๆ แม้แต่น้อย

มิหนำซ้ำยังถูกกวาดไปเหมารวมกับพวกนักการเมืองต้นทุนต่ำ กลายเป็นพวกสามานย์ไม่ควรที่ประชาชนจะต้องเลือกกลับมาอีก ตามที่ผู้มีอำนาจและองคาพยพเกี่ยวข้องเที่ยวโพนทะนา นั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อภิสิทธิ์ถึงกล้าประกาศกร้าวใครที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ให้ไปที่อื่นไม่ต้องมาที่นี่ อันหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์

แน่นอนว่า ท่วงทำนองดังกล่าวเป็นการบีบคนที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นการประกาศชักธงรบไม่ได้เป็นพวกเดียวกันอีกต่อไป พร้อมๆ กับการตีกันเทพเทือกออกห่างจากพรรคเก่าแก่ ด้วยการลอยแพ ธานี เทือกสุบรรณ ผู้น้องที่ประกาศก้องว่าจะไปจัดตั้งพรรคมวลมหาประชาชน นั่นเท่ากับว่าอภิสิทธิ์กำลังจะเดินบนเส้นทางหัวหน้าพรรคด้วยความเป็นตัวของตัวเอง หลังถูกมองว่ามีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลังนับตั้งแต่การก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหารเมื่อเกือบสิบปีก่อน

อย่างไรก็ตาม คำพูดดังกล่าวของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้นำมาซึ่งการตอบโต้จากบิ๊กตู่ด้วยการเตือนดังๆ ว่า ระวังคำพูดหน่อย การพูดจาเช่นนี้มันฟังดูดีและให้เกียรติกันหรือไม่ พร้อมกับขู่ว่าอย่าให้มีอารมณ์ ถ้าพูดไปจะเสียหายหมด ซึ่งก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังชี้ชวนให้ประชาชนใคร่ครวญและคอยดูว่าต่อไปคนที่พูดจะทำตัวอย่างไร หลังเลือกตั้งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ จากนั้นค่อยไปถามอภิสิทธิ์อีกครั้ง

แหม! นี่ขนาดไม่มีอารมณ์ยังโต้กลับเป็นฉากๆ เช่นนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังดิสเครดิตอภิสิทธิ์พร้อมพรรคเก่าแก่ไปในตัว การทิ้งท้ายในลักษณะเช่นนี้ของหัวหน้าคณะรัฐประหาร นั่นเท่ากับว่าด้านหนึ่งเป็นการฉายภาพในอดีตว่าเคยคิดเคยทำอะไรร่วมกันมา แล้วทำไมไม่ให้เกียรติกันบ้าง ระวังถ้าโพล่งออกมาเมื่อไหร่เป็นต้องได้แตกหักกันไปข้าง

น่าเสียดายที่ท่านผู้นำไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะคนจะได้รู้ว่าตั้งแต่ยุครัฐบาลเทพประทานจนมาถึงการชัตดาวน์กรุงเทพฯและก่อกำเนิดคสช. มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ถึงแม้จะไม่มีการพูดอะไร แต่คนส่วนใหญ่ก็พอจะคาดเดากันได้ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษซึ่งเป็นการยืนยันว่านี่คือชั้นเชิงทางการเมืองของบิ๊กตู่ที่ไม่ธรรมดาคือ การวางกับดักความน่าเชื่อถือของพรรคเก่าแก่

การระบุว่า คนพูดจะทำอย่างไร จะเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ หลังเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น เท่ากับเป็นการฟ้องคนที่สนับสนุนไปในตัวว่า พรรคเก่าแก่กำลังจะเปลี่ยนไป ยังสมควรที่จะสนับสนุนต่อไปอีกหรือไม่ อีกทางก็เป็นการขู่ว่า ถ้าอยากจะเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งก็อย่าหือ ที่เด่นชัดไปกว่านั้นคือ การพูดในลักษณะเช่นนี้ของบิ๊กตู่เป็นการแสดงความมั่นใจว่าจะกลับมามีอำนาจแน่นอน

ถือเป็นภารกิจของคนที่ไม่ได้ถือหางข้างหนึ่งข้างใด ต้องพินิจพิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้ง ไม่ลงรอยของคนที่เคยสมคบคิดหรือเพียงแค่การแบ่งบทกันเล่น พอถึงเวลาก็จะสร้างวาทกรรมมากลบการแสดงปาหี่ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ นี่แหละเสน่ห์การเมือง บางเรื่องก็ฟันธงได้แต่บางสิ่งอย่ารีบเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะนั่นอาจจะทำให้ถูกหลอกชนิดกู่ไม่กลับก็เป็นได้

ไม่ว่าคนเคยรักหรือยังรักกันจะแสดงออกอย่างไร นั่นยังไม่ใช่จุดสำคัญ เวลานี้สิ่งที่นักการเมืองโดยเฉพาะพวกคนเก่าคนแก่ต้องการคือ ความชัดเจนในเรื่องการแก้ไขคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ และการส่งร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ตีความจะเร็วได้ขนาดไหน กระทบต่อโรดแมปเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์หรือไม่

ฟังคำอธิบายของบิ๊กตู่ชัดเจนว่า หน้าที่ในการส่งศาลรัฐธรรมนูญหนีไม่พ้นเป็นเรื่องของสนช. ส่วนเรื่องที่ว่าจะช้าเร็วอย่างไร เมื่อท่านผู้นำยืนยันมีการประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้กระทบต่อโรดแมปก็น่าจะเบาใจได้ส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 อยู่ระหว่างการปรับแก้เพื่อให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่เดินหน้าต่อไปได้ ก็คงจะเบาใจกันทุกฝ่าย

ส่วนการที่บอกว่าจะไม่ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวทั้งหมดก็พอเข้าใจได้ ใครจะทำให้ตัวเองหน้าแหก ขณะเดียวกันการส่งสัญญาณเช่นนี้ก็หมายความว่า ผู้มีอำนาจและบรรดานอมินีทั้งหลายพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง คงมั่นใจทั้งในการขับเคลื่อนผ่านโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และภาพของการกวาดทุจริตในระดับปฏิบัติการณ์ที่กำลังทำอยู่เวลานี้

ที่น่าสังเกตอีกประการก็จะเห็นได้ว่า มีการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคเก่าโดยเฉพาะเพื่อไทยเป็นระยะ เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันจันทร์ระบุว่าคสช.เข้ามาเพื่อปราบโกงไม่ใช่เข้ามาโกง สอดรับกับ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่พูดถึงการพบทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิงและรถดูดโคลนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า เลือกเข้ามาอย่างไรถึงได้โกง ต่อไปอย่าเลือกแบบนั้นอีก หากคิดจะสร้างประเทศจริง ก็อย่าเลือกให้เขาเข้ามาโกงก็แล้วกัน

การพูดที่สอดรับกันนี้มันคงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ แต่ พิชัย นริพทะพันธุ์ ก็รีบดักคอทันควัน “แล้วที่ไม่ใช่นักการเมือง ประชาชนไม่ได้เลือกแต่โกงมากกว่าจะทำยังไง นี่แค่เริ่มต้นก็เห็นวาทกรรมทางการเมืองในการลดความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้กันแล้ว เข้าสู่โหมดเลือกตั้งจริงๆ นึกภาพไม่ออกว่ามันจะดุเดือดแค่ไหน ถ้าจะให้ทายบอกได้ว่าเข้มข้นชัวร์ และทายต่อว่าจะมีฝ่ายหนึ่งที่ได้เปรียบในการบังคับใช้กฎหมายและอีกฝ่ายจะถูกเล่นงานชนิดโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ

Back to top button