ดีเดย์ PTT ประเดิมเทรด “พาร์” ใหม่ 1 บาทวันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (24 เม.ย.) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จะเริ่มเทรดพาร์ใหม่ที่ 1 บาท จากเดิม 10 บาท ตามที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.61 ของ PTT ได้มีมติเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เปิดเผยว่า การแตกพาร์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องจากที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นบริษัทได้มากขึ้นจากราคาหุ้นต่อหน่วยที่ลดลง ซึ่งคาดว่าการซื้อขายพาร์ใหม่จะเริ่มได้ในต้นเดือน พ.ค. ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพาร์ดังกล่าวจะไม่ทำให้ทุนจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น PTT และไม่ส่งผลกระทบในทางลบ ( Dilution Effect) ต่อผู้ถือหุ้น

โดยภายหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จำนวน 28,562,996,250 บาท โดยมีทุนที่ออกและชำระแล้ว จำนวน 28,562,996,250บาท ตามมูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท จะส่งผลให้มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 28,562,996,250 หุ้น

ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PTT ราคาเตรียมไหลลง โดยหลังประกาศแตกพาร์เมื่อ 20 ก.พ. 61 (จะมีกำหนดวันแตกพาร์คือ 24 เม.ย. นี้) พบว่าราคาหุ้น PTT ปรับขึ้นกว่า 22.5% แต่เป็นที่สังเกตว่า ราคาหุ้น PTT ให้ผลตอบแทนสูงเกินกว่า ค่าเฉลี่ยของหุ้นขนาดใหญ่ที่ประกาศแตกพาร์ในอดีต 10 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือให้ผลตอบแทนเพียง 14.09% เท่านั้น อาทิ CPN (แตกพาร์ พ.ค.56), BDMS(แตกพาร์ เม.ย.57) และ AOT(แตกพาร์ ก.พ.60) เพิ่มขึ้น 17%, 11% และ 3% ตามลำดับ อีกทั้งสถิติในอดีตยังชี้ให้เห็นว่า ราคาหุ้นหลังแตกพาร์มักปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์แรกหลังมีผลบังคับเฉลี่ยราว 1%

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีบจ.ในกลุ่มดัชนี SET50 ดำเนินการแตกพาร์รวม 4 บจ. ประกอบ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA,บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ BANPU เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2556 มีมติอนุมัติแผนการแตกพาร์เป็น 1 บาท จากเดิม 10 บาท และมีผลบังคับใช้พาร์ใหม่ในวันที่ 26 ก.ย.2556 ซึ่งราคาหุ้น BANPU ในช่วงระหว่างวันที่ประกาศแตกพาร์ (31 ก.ค.2556) จนถึง 1 วันก่อนจะมีผลบังคับใช้ (25 ก.ย.2556) นั้นสามารถปรับตัวขึ้นสูงประมาณ 29.86%

ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ BEAUTY เมื่อวันที่ 25 ก.พ.2558 มีมติอนุมัติแผนการแตกพาร์เป็น 0.10 บาท จากเดิม 1 บาท และมีผลบังคับใช้พาร์ใหม่ในวันที่ 14 พ.ค.2558 ซึ่งราคาหุ้น WHA ในช่วงระหว่างวันที่ประกาศแตกพาร์ (25 ก.พ. 2558) จนถึง 1 วันก่อนจะมีผลบังคับใช้ (13 พ.ค.2558) นั้นสามารถปรับตัวขึ้นสูงประมาณ 6.49%

ส่วนที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ WHA เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 มีมติอนุมัติแผนการแตกพาร์เป็น 0.10 บาท จากเดิม 1 บาท และมีผลบังคับใช้พาร์ใหม่ในวันที่ 6 พ.ค.2558 ซึ่งราคาหุ้น WHA ในช่วงระหว่างวันที่ประกาศแตกพาร์ (26 ก.พ.2558) จนถึง 1 วันก่อนจะมีผลบังคับใช้ (30 เม.ย.2558) นั้นสามารถปรับตัวขึ้นประมาณ 15.70%

ขณะที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ AOT เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2559 มีมติอนุมัติแผนการแตกพาร์เป็น 1 บาท จากเดิม 10 บาท และมีผลบังคับใช้พาร์ใหม่ในวันที่ 9 ก.พ.2560 ซึ่งราคาหุ้น AOT ในช่วงระหว่างวันที่ประกาศแตกพาร์ (29 พ.ย.2559) จนถึง 1 วันก่อนจะมีผลบังคับใช้ (8 ก.พ.2560) นั้นสามารถปรับตัวขึ้นประมาณ 7.97%

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะสังเกตเห็นว่า ในช่วงระหว่างตั้งแต่ประกาศแตกพาร์จนกระทั่งก่อนถึงวันที่มีผลบังคับใช้พาร์ใหม่ ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ในวันที่มีผลบังคับใช้พาร์ใหม่นั้นจะมีแรงขายทำกำไรออกมาส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง

อย่าไรก็ตาม ถึงแม้ในวันนี้ (24 เม.ย.) ราคาหุ้น PTT มีแนวโน้มว่าอาจจะปรับตัวลงตาม Sell on Fact หลังมีการเก็งกำไรราคาหุ้นต่อกรณีดังกล่าวมามากแล้วนับตั้งแต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติแตกพาร์เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2561 จนกระทั่งวานนี้ (23 เม.ย.) ราคาหุ้น PTT ได้ปรับตัวขึ้นถึง 16.73%

โดยหากมองในระยะยาวราคาหุ้น PTT มีโอกาสปรับตัวขึ้นเป็นอย่างดี เนื่องจาก PTT มีปัจจัยพื้นฐานที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูง รวมทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นอยู่ในระดับสูงนับตั้งแต่ต้นปี 61 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังอาจเปรียบเทียบได้กับ AOT เนื่องจากภายหลัง AOT แตกพาร์ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งถึงแม้ว่าราคาหุ้น AOT ในวันที่มีผลบังคับใช้พาร์ใหม่จะปรับตัวลงก็ตาม

อนึ่ง ราคาหุ้น PTT วานนี้ (23 เม.ย.) ปิดตลาดอยู่ที่ 572 บาท ลบ 16 บาท หรือ 2.72% สูงสุด 588 บาท ต่ำสุดที่ 572 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.12 หมื่นลบ.