พาราสาวะถี
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ท่าทีของคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างหน้าตาเฉย ก็หลังประชุม ครม.วันอังคาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งยืนยันเป็นมั่นเหมาะ “ผมไม่ใช่เครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดฝุ่น” ขอให้ไปดูข้อกล่าวหาที่ว่าคสช.หรือรัฐบาลนี้ไปบังคับคนนั้นคนนี้ บังคับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ตนจะเอาอำนาจอะไรไปบังคับเขาเหล่านั้น
อรชุน
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ท่าทีของคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างหน้าตาเฉย ก็หลังประชุม ครม.วันอังคาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งยืนยันเป็นมั่นเหมาะ “ผมไม่ใช่เครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดฝุ่น” ขอให้ไปดูข้อกล่าวหาที่ว่าคสช.หรือรัฐบาลนี้ไปบังคับคนนั้นคนนี้ บังคับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ตนจะเอาอำนาจอะไรไปบังคับเขาเหล่านั้น
แต่ในรายการของคสช.เมื่อคืนวันศุกร์ ท่านผู้นำคนเดิมกลับบอกว่า “การดูดนี่เป็นมายาวนานแล้ว ไม่ใช่มาบอกแต่คสช.ดูด ฉะนั้นการดูดกันมันก็มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบาย เพื่อชาติและประชาชน” แล้วที่ว่าจะปฏิรูปการเมืองก็คงจะยกเว้นเรื่องดูดใช่ไหม เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ
ก็อย่างว่าแหละ การตั้งพรรคของคสช.ที่เดินเกมกันอยู่ การระดมดูดอดีตส.ส.ที่ต้องบอกกันว่าจะยกกันทั้งตระกูล ทั้งกลุ่มทั้งแก๊งมันต้องหาอะไรมาช่วยยืนยันความชอบธรรมที่เวลาตัวเองทำแล้วถือเป็นเรื่องดีไม่ผิด แต่ถ้าฝ่ายการเมืองรายเก่าแค่คิดก็ชั่วและเลวแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่จะมีคำพูดจากปากของผู้นำเผด็จการที่จะอ้างถึงการดึงนักการเมืองมาร่วมงาน
อะไรคือการทำเพื่อส่วนรวม อะไรที่เป็นการทำเพื่อพวกพ้อง หากมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญเช่นเดียวกันแล้ว ก็น่าจะช่วยกันทำงานได้ เราไม่อาจมองข้ามกันได้ เราจะต้องทำให้นักการเมือง ทุกคนที่เข้าสู่ระบบเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะนักการเมืองใหม่ นักการเมืองเก่า
ท่าทีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าจริงๆ หากตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีไม่มีวาทกรรมนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว หลุดออกมาจากปากของท่านผู้นำและองคาพยพ ปรากฏการณ์ดูดสะท้านฟ้าเช่นนี้คงไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ น่าเสียดายที่วาทกรรมเครื่องดูดฝุ่นของท่านผู้นำถูกทำลายลงด้วยคำพูดพร้อมจะดูดด้วยการอ้างเหตุผลสารพัด
ความจริงสิ่งที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอบโต้บิ๊กตู่เรื่องเครื่องดูดฝุ่นนั้นหากไม่ใช่การวิวาทะทางการเมือง ก็เป็นเรื่องที่น่ารับฟังอยู่ไม่น้อย ถ้าได้เครื่องดูดฝุ่นก็ดีคือดูดแล้วบ้านเมืองสะอาดขึ้น แต่บังเอิญไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่นดูดแล้วบ้านเมืองไม่ได้สะอาดขึ้น ส่วนการให้ตำแหน่งนั้นที่ผ่านมามีการนัดหมายติดต่อกันจริง คงปฏิเสธไม่ได้ ทำกันแบบนี้ปัญหาในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เรื่องที่น่าคิดไม่น้อย
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนสคริปต์ให้ท่านผู้นำพูด หรือท่านจะคิดเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหากคิดได้ภายหลัง ควรจะไตร่ตรองใหม่ว่า การดูดนักการเมืองเพื่อไปร่วมชายคาพรรคเผด็จการทหารนั้นมันเป็นครรลองของระบอบประชาธิปไตยหรือการเมืองน้ำเน่ากันแน่ ยิ่งได้ฟังท่านพูดถึงนักการเมืองต้องมีธรรมภิบาล เป็นนักการเมืองที่ดี แล้ววิธีการที่ท่านและพวกกำลังใช้นั้น ถามว่ามันเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแห่งยุคปฏิรูปที่ควรดำเนินการใช่หรือไม่
ความจริงอีกประการที่นอกเหนือจากการตอกย้ำเรื่องการปฏิรูปและทำให้เกิดการเมืองที่ดีแล้ว ท่านผู้นำยังพูดแทบจะทุกเวทีถึงการเลือกคนดีมีคุณธรรม เลือกพรรค เลือกคนด้วยนโยบายที่ชัดเจน ใช้เหตุผลในการเลือก ไม่ใช่เลือกใครก็ได้มาเป็นรัฐบาล ด้วยความคุ้นเคยด้วยความไม่รู้จักคนอื่น หรือด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่สนใจเบื้องหน้าเบื้องหลัง
เหลืออยู่อย่างเดียวที่ท่านยังไม่พูดและไม่แน่ว่าถ้ามีความชัดเจนเรื่องพรรคของคสช.แล้วก็อาจจะได้ยินคำพูดนี้ก็คือ “ไม่ต้องเลือกใครครั้งหน้าให้เลือกพรรคที่สนับสนุนผมเป็นนายกฯต่อและทั้งประเทศเวลานี้มีผมและคณะเท่านั้นที่เป็นคนดีสมควรจะได้อยู่บริหารประเทศต่อไป” แม้ว่าอาจจะมีนักการเมืองตระกูลหนึ่งตระกูลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมาร่วม แต่คนเหล่านั้นได้รับการประทับตราแล้วว่าเป็นคนดี
บางทีพวกกองหนุนฝ่ายเชียร์รัฐบาลเผด็จการอาจต้องยอมรับความจริงกันแล้วว่า คนชื่อประยุทธ์ ณ วันนี้ไม่ใช่ประยุทธ์คนเดิมที่ประกาศยึดอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะครั้งนั้นยังมีหัวโขนของความเป็นทหารและชูประเด็นเรื่องการสร้างความปรองดอง ปฏิรูปประเทศและเป็นกรรมการที่มายุติปัญหาความขัดแย้งแตกแยก
อย่างที่เห็นวันเวลาที่ผ่านมา ปัญหาใช่ว่าจะหมดไปเพียงแต่ทุกอย่างถูกกวาดซุกไว้ใต้พรมด้วยกฎหมายพิเศษและมาตรายาวิเศษเท่านั้น มิหนำซ้ำ กรรมการยังเปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้เล่น แสดงตัวเป็นอีกฝ่ายที่พร้อมจะขัดแย้งหรือมีปัญหากับพวกที่ไม่เห็นด้วยและกล้าดีมาวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เพียงเท่านั้น ยังแสดงอาการอยากอยู่ในอำนาจต่อไปให้คนเห็นเป็นที่ประจักษ์
เมื่อมีโจทย์ที่ตั้งไว้แล้วในใจ จึงต้องแสวงหาผลลัพธ์ตามที่อยากจะให้เป็น การที่มีใครหน้าไหนกล้ามาขวางทางหรือวิเคราะห์คำตอบผิดไปจากที่ตัวเองและคณะวางเอาไว้ ย่อมจะถูกกล่าวหาหรือตราหน้าว่าเป็นพวกคนไม่ดีอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนปัญหาใหญ่ที่คนหวั่นใจว่า แล้วหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าประเทศจะเดินไปอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคาดเดาอะไร
พลเอกประยุทธ์ก็กลับมาเป็นนายกฯเหมือนเดิม พร้อมๆกับคณะรัฐมนตรีหน้าเดิม เพิ่มเติมคือมีนักการเมืองที่ยอมศิโรราบจากพลังดูดเข้ามาแซมเพื่อทำให้คนทั่วไปโดยเฉพาะชาวโลกได้เห็นว่า นี่คือรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการของประชาธิปไตยมาเรียบร้อยแล้ว แม้กระบวนการของการได้มาซึ่งอำนาจนั้นมันจะเป็นการเขียนกฎหมายและใช้กลวิธีที่ตัวเองและพรรคพวกได้ดำเนินการไว้ก็ตาม
ทว่าสิ่งที่น่าติดตามมากกว่าอย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงว่าไว้ เกมดูดนักการเมืองของอำนาจเผด็จการน่าจับตาแต่ไม่น่ากังวล เท่ากับเกมที่นักการเมืองใช้ดูดอำนาจเผด็จการเข้ามาเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เพราะมีความซับซ้อนแยบยลและสร้างความเสียหายต่อประชาธิปไตยมากกว่า วันนี้จึงต้องดูให้ชัดพรรคการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจอยู่ตอนนี้อ้างมีจุดยืนประชาธิปไตยหรือผิดหวังไม่ได้ดังใจกับเผด็จการ เพราะถ้าเป็นแบบหลังนั่นเท่ากับว่า ในอนาคตจะเป็นไส้ศึกให้คณะรัฐประหารอีก