เปิดงบฯ Q1 หุ้นตระกูล”ปตท.”ฟันกำไร 7.5 หมื่นลบ. ชู GPSC เด่นสุดโต23%รับรายได้โรงไฟฟ้าหนุน
เปิดงบฯ Q1/61 หุ้นตระกูล "ปตท." ฟันกำไร 7.5 หมื่นลบ. ชู GPSC เด่นสุดโต 23% รับรายได้โรงไฟฟ้าหนุน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลหลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/61 โดยพบว่าบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รวมถึงบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
โดยบริษัททั้ง 6 แห่งทำกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/61 รวมทั้งสิ้น 7.48 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาส 4/60 ที่ทำกำไรได้ 6.65 หมื่นล้านบาท ขณะที่ลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 ที่ทำกำไรได้ 8.18 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เริ่มจาก PTT รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 3.98 หมื่นล้านบาท ลดลง 13.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 4.62 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากเงินปันผลรับกองทุนรวม Principal Energy and Petrochemical Index Fund (EPIF) และจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ปรับลดลง
โดยหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ที่เป็นผลจากการปรับลดลงของส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์กับวัตถุดิบส่วนใหญ่ในไตรมาสนี้ รวมถึงธุรกิจการกลั่นที่ผลการดำเนินงานลดลงตาม AccountingGRM ที่ปรับลดจากกำไรจากสต๊อกน้ำมันมันที่ลดลงรวมถึงต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นตาม Crude Premium ที่สูงขึ้น
ด้าน PTTEP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 1.34 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1.23 หมื่นล้านบาท โดยได้รับแรงสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสูงขึ้นกว่าร้อยละ 5 จาก41.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในไตรมาส 4 ปี 2560 เป็น 44.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ อีกทั้งบริษัทยังมีความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับต้นทุนการผลิตในระดับต่ำที่ 29.20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
ขณะเดียวกัน PTTGC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 1.24 หมื่นล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1.32 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้กำไรในช่วงไตรมาส 1/61 อ่อนตัวนั้น เป็นผลมาจากบริษัทมีต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิลดลง
ด้าน IRPC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 2.75 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไร 2.37 พันล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 23,622 ล้านบาท หรือคิดเป็นการการเติบโต 64% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่เพิ่มตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะเดียวกัน กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,807 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 49% อีกทั้งกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,840 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% เนื่องจากไตรมาส 1/60 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 387 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16%
ส่วน TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 5.61 พันล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้มีกำไรสุทธิปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากบริษัทมีต้นทุนในการขายและบริการมากขึ้น
สำหรับบริษัทสุดท้าย GPSC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิที่ระดับ 922.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 749.87 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากโรงไฟฟ้า IRPC-CP ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เต็มทั้ง 2 ระยะ และโรงงานผลิตสาธารณูปการระยองมีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากการที่ลูกค้าไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงเหมือนช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงราคาขายไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ
ทั้งนี้ บล.เอเชียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นในกลุ่ม ปตท. โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTTGC และ IRPC ในราคาเหมาะสม 108 บาท และ 8.40 บาท ตามลำดับ และแนะนำสับเปลี่ยนตัว (Switch) ในหุ้น PTT, PTTEP, TOP และ GPSC โดยมองว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเต็มมูลค่าแล้ว พร้อมให้ราคาที่เหมาะสมที่ 54 บาท, 137 บาท, 103.30 บาท และ 64 บาท ตามลำดับ
อนึ่ง หุ้นในกลุ่มปตท.มีขนาดมาร์เก็ตแคปรวมกันที่ประมาณ 2.89 ล้านล้านบาท เทียบกับมาร์เก็ตแคปของตลาดที่ราว 17.74 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 11 พ.ค.2561