PPS เด้งแรง 5% รับธุรกิจ H2/61 ฟื้นตัวเด่นตามงานภาครัฐ-เอกชนแนะซื้อเป้า 1.67 บ.
PPS เด้งแรง 5% รับธุรกิจ H2/61 ฟื้นตัวเด่นตามงานภาครัฐ-เอกชนแนะซื้อเป้า 1.67 บ. โดย ณ เวลา 11.03 น. อยู่ที่ระดับ 1.29 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.66 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS ณ เวลา 11.03 น. อยู่ที่ระดับ 1.29 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.66 ล้านบาท
นายพงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) เปิดเผยว่า ปริมาณงานของบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 2/61 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะงานของภาคเอกชนที่มีออกมามาขึ้น ประกอบกับบริษัทเริ่มเข้าไปรับงานปรับปรุงอาคารบางส่วนข จากกรมโยธาธิการและผังเมือง รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเตรียมแผนเข้าไปรับงานในต่างประเทศที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในครึ่งหลังของปีนี้ จึงเชื่อว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบจากความล่าช้าของงานโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาได้
บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะออกมาดีขึ้น จากครึ่งปีแรกที่อาจทำได้ไม่ดีนัก โดยบริษัทคาดว่าช่วงที่เหลือขงปีนี้จะมีการรับรู้รายงานของงานโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้ามาจากปีก่อน ประกอบกับมีการติดตามงานโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่จะมีการเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการภายใต้เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และงานระบบขนส่งมวลชน
ดังนั้น บริษัทจึงยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตราว 25% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 10-12% ซึ่งส่วนหนึ่งยังมาจากการขยายธุรกิจเพิ่มเติมอีก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจการทำราคาและธุรกิจการควบคุมราคา ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่งานในมือ (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ราว 300 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้
นายพงศ์ธร เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/61 บริษัทได้เข้าไปรับงานโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติม 2 โครงการทั้งของภาครัฐและเอกชน ได้แก่ งานก่อสร้างและปรับปรุงโครงการเดอะมอลล์ 2 และงานบูรณะอาคารบางส่วนของพระบรมมหาราชวัง อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าประมูลโครงการงานปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ด้วย
สำหรับโอกาสการรับงานในต่างประเทศนั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้ารับงานในต่างประเทศเพิ่มเติม ทั้งใน สปป.ลาว และที่ดูไบในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะเดียวกันก็ได้ม่งเน้นพัฒนามาตรฐานให้เป็นสากลมากขึ้นเพื่อแข่งขันในระดับโลก โดยมีการรับบุคลากรเพิ่มเพื่อให้สามารถรองรับงานต่างประเทศได้ โดยคาดว่าจะเห็นสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 61
พร้อมกันนั้น บริษัทพยายามพัฒนาเทคโนโลยีในทิศทางสอดคล้องกับโลกปัจจุบันจากความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น โดยบริษัทมีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อเป็น smart consultant และมองว่าแอพพลิเคชันดังกล่าวจะมีแนวโน้มปรับดีขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนแผนระดมทุนในรูปแบบ Initial Coin Offering (ICO) ที่เป็นความร่วมมือกับ บริษัท ฟินเทค (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท โปรฟิน กรุ๊ป จำกัดนั้น นายพงศ์ธร กล่าวว่า คงต้องระงับไว้ก่อนเพื่อรอความชัดเจนจากกฎระเบียบที่จะออกมาภายใต้ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะประเด็นความคุ้มค่าจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี บริษัทร่วมทุนที่ตั้งขึ้นมายังมีช่องทางอื่นที่สามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการเจรจาเพื่อสรุปร่วมกันกับพันธมิตร
บล. ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างยังเติบโตอีกมาก โดยในแผนยุทธศาสตร์คมนาคมขนส่งปี 2558-2565 ที่มีกรอบวงเงินลงทุนประมาณ 2.39 ล้านล้านบาท โดยปกติงานที่ปรึกษา-ควบคุมโครงการจะมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1%-3% ของมูลค่างาน ซึ่งนึ่เป็นเพียงส่วนของภาครัฐ ยังมีการลงทุนภาคเอกชนที่ลงทุนตามการลงทุนภาครัฐตามมาเป็นโอกาสของบริษัท
บริษัทตั้งเป้าเติบโต 20-25% ต่อปีในอีก 1-3 ปี และตั้งเป้ารายได้ 1 พันล้านบาทปี 2565 จากปี 2560 ที่อยู่เพียง 389 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต CAGR 20% ต่อปี ซึ่งการเติบโตของกำไรจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นสูงกว่า จากที่บริษัทเป็นธุรกิจบริการที่มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอัตราน้อยกว่ารายได้
บริษัทไม่มีเงินกู้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีฐานะเป็นเงินสดสุทธิ ในขณะที่ประมาณการเติบโตของกำไรตามสมมติฐาน มีการเติบโตของกำไร CAGR ปี 2560-2563 อยู่ที่ 26.1%
เริ่มต้นการวิเคราะห์ ด้วยคำแนะนำ ซื้อลงทุน โดยประเมินมูลค่าตามพื้นฐานเท่ากับ 1.67 บาท/หุ้น คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต 30% ในปี 2561 ที่ 72.1 ล้านบาท ใช้ P/E ปี 2561 ที่ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการเติบโตของ EPS เฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ 19.8%(Fully diluted) และใกล้เคียงระดับ PE ของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และถือว่าบริษัทมีฐานะการเงินดีมากและมีโอกาสเติบโตในระยะกลาง-ยาวสูง