พาราสาวะถีอรชุน

ไม่ได้มีอะไรให้น่าตกใจแค่พิธีกรรมทำให้เรียบร้อยก็เท่านั้นสำหรับมติถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ที่คณะกรรมการซึ่งพิจารณาออกมายืนยันว่ามีมติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ให้ดำเนินการ ก่อนที่จะไม่ลืมลงชื่อชงเรื่องต่อให้ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ชื่อนี่ถูกต้องแล้วไม่ผิดเหมือนที่ผู้ประกาศช่องดังอ่านนะ (ฮา)) ดำเนินการต่อไป


ไม่ได้มีอะไรให้น่าตกใจแค่พิธีกรรมทำให้เรียบร้อยก็เท่านั้นสำหรับมติถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ที่คณะกรรมการซึ่งพิจารณาออกมายืนยันว่ามีมติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ให้ดำเนินการ ก่อนที่จะไม่ลืมลงชื่อชงเรื่องต่อให้ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ชื่อนี่ถูกต้องแล้วไม่ผิดเหมือนที่ผู้ประกาศช่องดังอ่านนะ (ฮา)) ดำเนินการต่อไป

มีคำถามตามมาหลังจากที่รัฐบาลดำเนินการทั้งถอนพาสปอร์ต ถอดยศ เตรียมยึดเครื่องราชฯ คืนแล้ว ช็อตต่อไปจะดำเนินการถอนสัญชาติไทยของทักษิณให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยไหม จะได้ตัดปัญหาทุกอย่างให้จบไป ในเมื่อคนแดนไกลมีสัญชาติไทยแล้วถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา ถ้าถูกถอนสัญชาติแล้วก็คงจะไม่ต้องมีใครมาวุ่นวายอีก

ง่ายดีเหมือนกันนะสำหรับมุขนี้ ไหนๆ ก็เดินเกมกันมาขนาดนี้แล้วก็ดำเนินการต่อให้มันสุดๆ ไปเลย ส่วนที่ “ไก่อู” พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โต้กลับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าคนไทยก้าวข้ามทักษิณไปนานแล้วนั้น ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีจะต้องน่ากลัวอะไรมากขนาดนั้น ก็มีแต่ ผู้มีอำนาจและพวกต่อต้านระบอบทักษิณเท่านั้นแหละที่ยังไม่ยอมก้าวข้ามเสียที

ที่บ้านเมืองวุ่นวายจนคสช.ต้องประกาศปฏิรูปประเทศพร้อมยกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ ถามว่า เป็นเพราะพวกทักษิณหรือฝ่ายต่อต้านกันแน่ สิ่งสำคัญคือ คำพูดที่ไก่อูเตือนไปยังณัฐวุฒิที่ว่าฆ่าความหลงผิดในใจตัวเองลงได้นั้น อยากจะถามว่าแล้วท่านสำนึกผิดต่อกรณีผังล้มเจ้ากำมะลอ ที่ใช้มาตรา 112 มากล่าวหาคนแบบมั่วซั่วนั่นแล้วหรือยัง

มองภาพความเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลในเวลานี้ของไก่อูแล้ว หวังว่าภาพคงจะไม่ย้อนกลับไปเหมือนเมื่อคราวทำหน้าที่โฆษกศอฉ.เมื่อปี 2553 ยิ่งในขณะนี้เห็นคนที่เสร็จม็อบแล้วไปบวชออกมาอวยรัฐบาล ชูผ้าเหลืองเชียร์ร่างรัฐธรรมนูญถึงขั้นบอกว่าถ้าดีแล้วก็ไม่ต้องทำประชามติ ยิ่งทำให้นึกถึงภาพความเป็นปี่เป็นขลุ่ยในขณะนั้นเป็นอย่างดี รู้สึกสยองยังไงชอบกล

บวชเป็นพระแล้วท่านว่าอย่าโกหก เห็นบางคนมองการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องตลก แล้วไหนตอนที่เป็นฆราวาสที่ยังต่อสู้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญกรณีที่มาส.ว.ถึงไปยกเอาเสียงประชามติที่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 50 มาค้ำยัน นี่แหละ ที่เขาเรียกถนัดเอาดีเข้าตัวของแท้ ยิ่งพูดแล้วยิ่งรู้เช่นเห็นชาติ บาปในใจแม้จะโกนหัวห่มผ้าเหลืองมันล้างไม่ได้จริงๆ

สงสัยกลัวแรงกระเพื่อมจากการตามเล่นงานทักษิณ วันนี้ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป หรือศปป. จึงได้เชิญนักการเมือง นักวิชาการ และตัวแทนประชาชน เข้าพูดคุย หารือ พร้อมเสนอแนวทางสำหรับการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอีกคำรบ ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี คนที่ถูกเชิญต้องมาตามคำสั่ง แต่คาดหวังกับสิ่งที่เสนอว่าจะได้รับการตอบสนองคงยาก

ปัญหามีอยู่ว่า เรื่องที่ตัวแทนพรรคการเมืองเคยชี้แจงและยื่นข้อเสนอไปแล้วนั้น มีการนำไปปรับแก้วางเป็นแนวทางในการทำงานหรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้เชื่อได้เลยว่า ไม่น่าจะมีผล เหมือนที่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรตั้งข้อสังเกต คนที่เกี่ยวข้องว่างงานกันมากหรืออย่างไร จึงไล่ถอดยศ ถอนพาสปอร์ตทักษิณ ทั้งๆ ที่ปัญหาของประเทศยังมีเรื่องให้แก้ไขอีกเยอะ

ข้อกังขาประการต่อมาคือ ทำไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรเพราะถอดยศไปแล้วไม่ได้ทำให้คนแดนไกลจนลง เช่นเดียวกับการถอนพาสปอร์ต ก็ไม่ได้หมายความว่าทักษิณจะเดินทางไปไหนไม่ได้ ยังคงเดินทางไปไหนต่อไหนได้ทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย เช่นเดียวกับฝ่ายความมั่นคงกังวลว่า คนเสื้อแดงอาจจะก่อเหตุรุนแรงเพื่อแสดงความไม่พอใจที่นายใหญ่ถูกกระทำ

คำตอบของวิสุทธิ์ก็คงเหมือนคนไทยโดยทั่วไปก็คือ ไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องนี้ การถอดยศหรือการถอนพาสปอร์ตไม่มีความสำคัญและไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย สรุปแล้วก็เป็นเพียงแค่การต้องการกลบกระแสข่าวอื่นๆ ของผู้มีอำนาจโดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ เรียกได้ว่าคิดอะไรไม่ออกปลุกผีทักษิณขึ้นมาหลอกคนได้ทั้งประเทศ ยิ่งรอบนี้เล่นแรงยิ่งทำให้ตีข่าวอื่นกระเจิง

เริ่มเปิดให้ผู้เสนอขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเข้าอธิบายเหตุผลต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กลุ่มแรกที่เข้าไปคือกลุ่มของ นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกสปช. ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ ประเด็นส.ว.โดยกลุ่มหมอพลเดชเสนอตัดทอนอำนาจของส.ว.ที่มีมากจนเกินไป รวมทั้งให้แก้ที่มาเป็นจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน

เป็นเรื่องแปลกที่บรรดากลุ่มคนซึ่งเคยเคลื่อนไหวไม่เอาด้วยกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อนหน้านี้และได้รับเลือกให้เข้าไปทำหน้าที่ในองคาพยพแม่น้ำ 5 สาย จะมองเห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง เช่นเดียวกันกับ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ที่ยังคงตอกย้ำเรื่องนายกฯ ต้องมาจากส.ส. พร้อมๆ กับการไม่เห็นด้วยต่อเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ที่อยากให้มีรัฐบาลผสม

โดยมุมของสมบัติเห็นว่า ถ้าหากเป็นรัฐบาลผสมที่มาจากพรรคเล็กพรรคน้อยจะเป็นผลทำให้รัฐบาลอ่อนแอ เมื่อรัฐบาลอ่อนแอประเทศก็ไม่มีอนาคต หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ต่อท่าทีของอดีตอธิการบดีนิด้าที่ตอนจับมือกับเทพเทือกล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยกเหตุผลสารพัดทำให้สังคมเห็นว่ารัฐบาลเสียงข้างมากใช้ไม่ได้ รวมทั้งหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชนต้องไม่เท่าเทียมกันด้วย

เหล่านี้คือความย้อนแย้งของบรรดาเหล่าคนดีทั้งหลายที่ไม่เอาระบอบทักษิณ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ยกเรื่องความเป็นประชาธิปไตยและความเข้มแข็งมากล่าวอ้างแล้ว คงต้องยุส่งต่อไปว่าน่าจะช่วยกันคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะที่มาของกระบวนการทั้งหมดมาจากการรัฐประหาร ไม่ถูกต้องตามหลักการสถาปนาอำนาจรัฐธรรมนูญที่จะต้องมาจากประชาชน แต่คงทำกันไม่ได้เพราะตัวเองก็ได้ตำแหน่งมาจากปลายกระบอกปืนเหมือนกัน เฮ้อ!

Back to top button