พาราสาวะถี
ช่วงเช้าวันนี้ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจะมีกิจกรรมการประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไปของกลุ่ม ที่บริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น จากนั้นแกนนำฯ และแนวร่วมทั้ง 62 คนที่ถูกคสช.แจ้งความดำเนินคดี จะเดินเท้าไปรายงานตัวตามหมายเรียกที่สน.นางเลิ้ง งานนี้ท้าทายผู้มีอำนาจหรือเปล่าไม่ทราบ แต่แกนนำยืนยันมีสิทธิและเสรีภาพที่จะดำเนินกิจกรรม
อรชุน
ช่วงเช้าวันนี้ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจะมีกิจกรรมการประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไปของกลุ่ม ที่บริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น จากนั้นแกนนำฯ และแนวร่วมทั้ง 62 คนที่ถูกคสช.แจ้งความดำเนินคดี จะเดินเท้าไปรายงานตัวตามหมายเรียกที่สน.นางเลิ้ง งานนี้ท้าทายผู้มีอำนาจหรือเปล่าไม่ทราบ แต่แกนนำยืนยันมีสิทธิและเสรีภาพที่จะดำเนินกิจกรรม
โดย รังสิมันต์ โรม ย้ำตามคำสั่งศาลห้ามชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งศาลยังไม่ได้ชี้ว่าการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและผู้ถูกดำเนินคดียังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนฝ่ายบังคับใช้กฎหมายจะเข้าใจตรงกันหรือเปล่า คงต้องติดตามดู แต่เมื่อเป้าหมายคือเดินไปสถานีตำรวจไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาลจึงไม่น่าจะมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดหลังประชุมครม.เมื่อวันอังคารยังคงออกอาการขู่ฟ่อด ๆ ใส่กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง บุคคลเหล่านั้นมีความผิดอยู่แล้วจะสู้รัฐบาลได้อย่างไร อยากถามว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ไม่รักประเทศกันหรืออย่างไร แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็อยากให้กลับไปมองถึงผู้กระทำความผิดเหล่านี้ว่ากระทำผิดอะไรบ้าง ส่งผลกระทบต่อใครบ้าง และอย่ามองว่ารัฐบาลกลั่นแกล้งเด็ก
เป็นการยืนยันหลักการของกฎหมายอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งถือเป็นท่วงทำนองของหัวหน้าเผด็จการคสช.มาตลอดนับตั้งแต่ยึดอำนาจ ไม่เพียงเท่านั้นยังขู่จะใช้กฎหมายเล่นงานสื่อด้วย จากความไม่พอใจที่สื่อและคอลัมนิสต์ติติงการทำงาน โดยผู้นำเผด็จการเห็นว่าสิ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นเรื่องเท็จ ถ้าจะพาดพิงขอให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย
พร้อมออกตัวด้วยว่าไม่ได้ใช้กฎหมายเพื่อมากดดันสื่อ แต่ต้องการให้ทุกคนเคารพกฎหมาย รวมถึงผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดีย ต้องมีความระมัดระวังด้วย หากกฎหมายบังคับใช้ก็อาจจะเดือดร้อน ตนไม่อยากให้ลงโทษแต่ไม่สามารถละเว้นกฎหมายได้ ซึ่งจะว่าไปในมุมของสื่อหรือคอลัมนิสต์ส่วนใหญ่หรืออาจจะทั้งหมดคงไม่ได้ใช้อคติเป็นตัวตั้งหรือกลัวว่าท่านผู้นำจะฟ้องร้องดำเนินคดี
เพราะในเมื่อยึดแนวทางเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องออกมาเตือนอะไร หากเห็นว่าสื่อไหนหรือคอลัมนิสต์รายใด นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง วิจารณ์บนพื้นฐานที่ไร้ข้อเท็จจริง ไม่มีหลักฐาน ท่านผู้นำเผด็จการก็ควรจะให้ฝ่ายกฎหมายไปฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อจะได้ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ที่ผ่านมานอกเหนือจากการขู่และอ้างเรื่องของกฎหมายแล้ว ยังไม่เคยได้ยินหรือเห็นว่าผู้มีอำนาจไปฟ้องร้องดำเนินคดีสื่อแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามตามมาว่า ในส่วนของสื่อที่วิจารณ์หรือมองรัฐบาลในแง่ลบในลักษณะของการทักท้วง แต่กลับถูกมองว่านำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ ในทางกลับกันหากสื่อที่เชียร์รัฐบาลชนิดไม่ลืมหูลืมตา โดยมีความจริงแค่นิดเดียวที่เหลือเป็นคำโกหกพกลม (เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้คนหลงรักรัฐบาล) ทั้งหมด คนกลุ่มนี้จะถือว่านำเสนอข้อมูลเท็จด้วยหรือไม่
ความจริงมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะคนที่เขียนกฎหมายบังคับใช้เพื่อปิดปากคนเห็นต่างและนิรโทษกรรมให้ตนเองไว้ทุกการกระทำ จะอ้างเรื่องกฎหมายซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพื่อสร้างภาพให้คนเห็นว่าไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกใคร แต่ข้อเท็จจริงกลับเป็นเรื่องตรงข้าม เช่นเดียวกับการอ้างเรื่องประชาธิปไตยแต่พฤติกรรมและการวางแนวทางทั้งหมดกลับเป็นไปเพื่อการสืบทอดอำนาจตามรูปแบบเผด็จการทั้งสิ้น
จะด้วยการที่พูดในเรื่องซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับตัวเองคิดมาโดยตลอดหรือเปล่าไม่ทราบ เราจึงได้ยินคำพูดประโยคที่ว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังสร้างความรับรู้กับนานาประเทศว่าไทยจะมีประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นต่างยืนยันมาโดยตลอดว่าแม้จะเป็นประชาธิปไตย แต่จะต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เท่านั้น
พูดเองสับสนเอง นี่แหละพฤติกรรมของนักการเมืองเต็มตัว ซึ่งก็ไม่ต่างจากเรื่องของการสืบทอดอำนาจ เพราะผู้นำเผด็จการบอกถึงการไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะไปแข่งขันกับใคร ฟังแล้วดูดี แต่พอประโยคต่อมาพูดอีกว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของกลไกในรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้เป็นกรอบอยู่แล้ว
รีบออกตัวทันทีทันใด กลัวจะถูกนักข่าวถามต่อว่าไม่ลงสมัครส.ส.แล้วจะรับตำแหน่งนายกฯ คนนอก หรือไม่นั่นเอง เหล่านี้มันคือพฤติกรรมย้อนแย้งกับสิ่งที่องคาพยพของคณะรัฐประหารได้วางหมากกลเอาไว้ เพราะหากข้อเท็จจริงคือไม่อยากมามีอำนาจ ก็ต้องประกาศว่าไม่ขอสืบทอดอำนาจไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อไม่ทำ มิหนำซ้ำ ยังวางแผนการทุกอย่างไว้อย่างแยบยลแต่ก็ปิดไม่มิด สังคมรู้และเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็ยังจะหาทางแถไปต่าง ๆ นานา
ถ้ายุคคณะรัฐประหารคมช.มีปฏิบัติการลับ ลวง พราง คณะเผด็จการคสช.ก็อาจจะเป็นพวกพรางดูเนียนตอนต้น แต่พอจะถึงจุดวัดใจค่ายกลต่าง ๆ ที่วางไว้นั้นกลับถูกแฉออกมาจนเห็นทุกอย่างล่อนจ้อน วันนี้ จึงเหลือเพียงแค่ว่า กระบวนการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้การกลับเข้าสู่ตำแหน่งไร้ปัญหา ไม่มีแรงกระเพื่อม จะใช้วิธีการแบบใด เพราะปลายทางในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้นไม่มีใครคาดเดาอารมณ์ของผู้คนในสังคมได้ว่า ยังรักสงบ ไม่อยากเห็นความขัดแย้งและพร้อมที่จะอยู่ภายใต้การบริหารของคณะเผด็จการต่อไปหรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า จากบทบาทกรรมการในช่วงแรกของการยึดอำนาจนั้น วันนี้ คณะเผด็จการได้เปลี่ยนตัวเองมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ขณะที่ข้อเรียกร้องของท่านผู้นำที่ขอให้ทุกคนอย่าให้ร้ายกันในวันข้างหน้าเพราะจะมีการเลือกตั้งแล้ว ถามว่านาทีนี้ยังมีใครให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอีกหรือไม่ โดยเฉพาะฝ่ายผู้มีอำนาจ มีแต่คนถือกฎหมายและใช้กฎหมายพิเศษเท่านั้น ที่เที่ยวกล่าวหาและตราหน้าคนหนึ่งคนใดหรือพวกหนึ่งพวกใดว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ขัดขวางความเจริญของประเทศ ทั้งที่คนเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิ เสรีภาพที่มีตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เดินตามการจูงจมูกของกฎหมายคณะเผด็จการ