เจ๊งกันถ้วนหน้า! 10 หุ้น mai ราคาทรุดหนัก 5 เดือนขาดทุนเกิน 40%  

เจ๊งกันถ้วนหน้า! 10 หุ้น mai ราคาทรุดหนัก 5 เดือนขาดทุนเกิน 40%  


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(mai) ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาหุ้นตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.60-31 พ.ค.61 โดยช่วงดังกล่าวมีหุ้นปรับตัวขึ้นสวนทางดัชนีตลาดขาลงชดเจน โดยดัชนีตลาดหุ้น mai ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 9.98% จากยืนที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค. 60) ลดลง 79.49 จุด มาอยู่ที่ระดับ 460.88 จุด (30 พ.ค.61)

ทั้งนี้หากสังเกตดัชนีเนื่องจากภาพรวมตลาดในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากวันที่ 1ม.ค.-8 มิ.ย.61 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิรวม 162,863 ล้านบาท ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อีกทั้งนักลงทุนทยอยปิดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ และนักลงทุนขายลดความเสี่ยงสถานการณ์ในซีเรียทำให้ภาวะตลาดหุ้น mai เป็นขาลงมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามครั้งก่อนได้นำเสนอข้อมูลราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้วครั้งนี้จะขอนำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง โดยคัดเลือกมานำเสนอ 10 อันดับ โดยหุ้นที่คัดเลือกมาส่วนใหญ่ปรับตัวลงแรงเกิน 40% ตามตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 49.45% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.91 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.46 บาท (31พ.ค.61) คาดนักลงทุนเทขายหุ้น เนื่องจากพื้นฐานบริษัทไม่โดยบริษัทมีผลขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 โดยผลการดำเนินงานปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 248.78 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 348.72 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทจะมีแผนธุรกิจออกมาในช่วงดังกล่าว โดยบริษัทลูก DNA ได้เซ็น MOU เพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์กับเหมืองขุด Bitcoin ในจีน โดยคาดเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/61 แต่ปัจจัยดังกล่าวก็ไมได้ทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้โดยราคาหุ้นเป็นขาลงตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา

 

อันดับ 2 บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 49.30% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 12.92 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 6.55 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนเทขายเนื่องจากผลประกอบการบริษัทออกมาไม่สดใสไตรมาส 1/60 โดยกำไรไตรมาส 1/61 หดตัวถึง 95% เนื่องจากรับผลราคาน้ำมันดิบพุ่งและเงินบาทแข็งรวมทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่ม

ด้านนายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/61 ชะลอตัวลง เนื่องจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนจากการเดินเรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะกดดันผลประกอบการโดยรวมในระยะสั้นเท่านั้น และคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นจากในไตรมาสที่ 1 อย่างแน่นอน

บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 30% จากปีก่อน โดยยังคงเดินหน้าขยายกองเรือบรรทุกน้ำมัน และสารเคมี และรถบรรทุกขนส่งน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อรองรับตลาดปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะขยายกองเรือเพิ่มขึ้นอีก 2 ลำ โดยแบ่งเป็นครึ่งปีแรกจำนวน 1 ลำ และครึ่งปีหลังจำนวน 1 ลำ น้ำหนักบรรทุกลำละ 13,000 เดทเวทตัน ด้วยงบลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท ส่งผลให้กองเรือบรรทุกน้ำมันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 10 ลำเป็น 12 ลำ และมีน้ำหนักบรรทุกรวม เพิ่มขึ้นจาก 82,961 เดทเวทตัน เป็น 108,961 เดทเวทตัน

ขณะที่บริษัทมีแผนที่จะขยายกองรถบรรทุกขนส่งน้ำมันอีก 30 คัน แบ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 จำนวน 10 คัน และไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จำนวน 20 คัน ส่งผลให้กองรถบรรทุกขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 180 คัน ปริมาณขนส่งรวมเพิ่มเป็น 8.1 ล้านลิตรฃ

ส่วนแผนในการเข้าซื้อกิจการของบริษัทยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นการเข้าซื้อกิจการที่มีความเหมาะสมกับการลงทุน และเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ หรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว

 

อันดับ 3 บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ  FSMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 48.58% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 17.60 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 9.50 บาท (31 พ.ค.61) นักลงทุนทยอยขายหุ้นเนื่องจากกังวลนักวิเคราะห์ปรับประมาณการปี 61-62 ลง อีกทั้งวิตกกังวลข่าวธปท.หนุนร้านโชห่วยทำ“แบงก์กิ้งเอเย่นต์”

ด้านนายสมชัย สูงสว่าง กรรมการผู้จัดการ FSMART เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีความกังวลกับประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกัน โดยบริษัทมีฐานลูกค้าที่ขยายไปตามชนบทและไม่ใช่ทำเลของร้านสะดวกซื้อดังกล่าว เพราะลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ทำรายการที่มีมูลค่าเงินไม่มาก เฉลี่ย 700 บาทต่อรายการ และต้องการความรวดเร็ว ประกอบกับบริษัทมีตู้บุญเติมในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ประมาณ 8,000 ตู้ ซึ่งไม่มีธุรกรรมการโอนเงิน ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลกรณีนี้

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นอ่อนตัวแรงเมื่อวันที่ (30 มี.ค.)บริษทได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินโดยจะใช้เงินสูงสุดไม่เกิน 300 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วน 2.5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.-17 ต.ค.61

ส่วนการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจากตลท.จะเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายหลัง 6 เดือนนับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2561 บริษัทตั้งเป้ามีรายได้เติบโต 15-20% จากปี 2560 มีรายได้ 3,105 ล้านบาท โดยบริษัทวางกลยุทธ์ที่หลากหลาย และเน้นคุณภาพครบทุกด้าน เพื่อการเติบโตทุกช่องทาง ด้วยหลักการบริหารจัดการยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ต่อเดือน (ARPU) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ 32,000 บาทต่อตู้

 

อันดับ 4 บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) หรือ KCM ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 44.62% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 2.22 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.18 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังเข้าไปไล่ราคาก่อนหน้านี้ อีกทั้งหุ้นไม่มีปัจจัยบวกและแผนธุรกิจโดดเด่นทำให้หุ้นรายนี้เข้าไปติด Cash Balance ในช่วงที่ผ่านเป็นประจำเวลาที่ปรับตัวขึ้นแรง

 

อันดับ 5 บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 45.04% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 14.10 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 7.75 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังเข้าไปไล่ในช่วงเดือนก.พ.โดยบริษัทโชว์ผลงานปี 60 กำไรพุ่งกว่า 46% มาที่ 255.42 ล้านบาท จากปีก่อนกำไร 174.33 ล้านบาท ทำให้ราคาพุ่งแรง แต่ภายหลังบริษัทประกาศตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 กำไรลดฮวบ 40% เหลือ 44 ล้านบาท จากปีก่อน 74 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนบริการและค่าใช้จ่ายพุ่ง ทำใหนักลงทุนผิดหวังและทยอยขายหุ้นออกมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับภาวะตลาดไม่สดใสยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button