วินโดว์เดรสซิ่ง แท้หรือเทียม ?
เดี๋ยวนี้ พอมีคนตั้งชื่อ "แก๊ง 4 โมงเย็น" ก็เริ่มมีกลุ่มนักลงทุนอีกกลุ่มตั้ง "แก๊งเที่ยงวัน" บ้าง กรณีที่เกิดขึ้นก่อนปิดตลาดเช้าวานนี้ น่าจะยืนยันการมีอยู่ของกลุ่มนี้อย่างไม่เป็นทางการ
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
เดี๋ยวนี้ พอมีคนตั้งชื่อ “แก๊ง 4 โมงเย็น” ก็เริ่มมีกลุ่มนักลงทุนอีกกลุ่มตั้ง “แก๊งเที่ยงวัน” บ้าง กรณีที่เกิดขึ้นก่อนปิดตลาดเช้าวานนี้ น่าจะยืนยันการมีอยู่ของกลุ่มนี้อย่างไม่เป็นทางการ
จู่ ๆ แรงซื้อก็เข้ามาที่ SET50 futures ก่อน จากนั้นก็กระจายเข้าที่หุ้นบลูชิพ จนดัชนีทำท่าบวกแรง โดยปิดตลาดเช้า ที่บวกไป 3.99 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2.64 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการกลับทิศจากการร่วงแรงตอนเปิดตลาด มากถึง 13 จุด
การแปรปรวนในช่วงไม่กี่นาทีระหว่างหลังเที่ยง ทำให้นักอ่านสัญญาณเทคนิคของสำนักโบรกเกอร์บางแห่งตื่นเต้นเป็นพิเศษ ที่เก็บอาการอยู่ก็แนะนำลูกค้าให้จับตา แต่ที่เก็บไม่อยู่ (อาจจะเพราะติดนิสัยขาเชียร์ หรือไม่ก็อ่อนพรรษา) ก็รีบชิงตัดหน้ารายอื่น ออกบทวิเคราะห์ฉุกเฉินก่อนเปิดตลาดบ่ายว่า ดัชนี SET เกิด Techical rebound บริเวณแนวรับ 1,620 จุด
เท่านั้นกลัวจะน้อยเกินไป ยังมีคำชี้แนะแบบ “ตาบอดคลำช้าง” อีกว่า หาก SET สามารถยืนเหนือแนวรับที่ “เราประเมินไว้” ให้ลุ้นรีบาวด์ได้
แม้ว่าตอนเปิดตลาดบ่าย ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาไม่เป็นไปตามคาด เพราะกลายเป็นปฏิบัติการ “แก๊งเที่ยงวัน” ที่ทำการ “ลากไปออกของ” ตามปกติ แต่อย่างน้อยสุดดัชนี SET ก็ยังไม่ยอมหลุดแนวรับ 1,620 จุดไปอีกวัน อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี
ส่วนหนึ่งของการพลิกผันวานนี้ในช่วงเที่ยงวัน ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า มาจากพฤติกรรม “แต่งหน้าต่าง” หรือ วินโดว์เดรสซิ่ง ท้ายไตรมาสกลางปีที่ทำกันมาตลอด โดยบรรดากองทุนทั้งหลาย
ปีนี้ เหตุการณ์ก็วกกลับมา และผลของวินโดว์เดรสซิ่ง ก็ยังคาดเดาไม่ถูกต่อไปเหมือนเดิมคือ โอกาสที่มักจะทำให้ราคาปิดหุ้นจำนวนมากในตลาดดูดีกว่าปกติ อาจจะเกิดหรือไม่ ยังไม่ชัดเจน
เพราะที่ผ่านมาโอกาสมีอยู่ แต่ช่องว่างระหว่างความคาดหวังและเป็นจริง ยังมีให้เห็น เพราะหลายต่อหลายครั้ง สถานการณ์ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะอาจจะมีลูกเล่นที่ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนได้
คราวนี้ก็คงทำนองเดียวกัน นักวิเคราะห์ประเภทเก่งเทคนิคบางคนถึงกับพากันเข็ดขยาด แม้ว่าพูดไปแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
คำถามก็คือ แล้วนักลงทุนรายย่อย จะเรียนรู้เพื่อที่จะจับได้ไล่ทันว่า จะมีวินโดว์เดรสซิ่งเพื่อทำกำไรระยะสั้นได้หรือไม่
ดังที่ทราบกันดี (ยกเว้นคนที่ไม่ใส่ใจยกระดับคุณภาพการลงทุนของตนเอง) รากเหง้าของพฤติกรรม วินโดว์เดรสซิ่ง นั้น แรกเริ่มเดิมที มาจากศัพท์ที่ใช้กันในงานแต่งหน้าร้านของร้านค้าปลีก หรือ ร้านขายสินค้าแฟชั่นทั้งหลาย ที่พยายามตกแต่งหน้าร้านให้สวยหรูชวนฝัน เพื่อหลอกล่อให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนเดินเข้าไปชมสินค้าภายในร้าน
ความหมายแรกเริ่มก็คือ การแต่งหน้าร้าน นั่นเอง
ต่อมา เมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบโดยนักการเงิน สาระก็ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกัน นั่นคือ การตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดีเกินจริงชั่วขณะ เพียงแต่มีความแตกต่างกันระหว่างในวงการบัญชี กับวงการหุ้น
ในวงการบัญชี ความหมายของวินโดว์เดรสซิ่ง คือ การเคลื่อนย้ายตัวเลขทางบัญชีในงบการเงินทุกอย่างเพื่อใช้เล่ห์เพทุบายที่ฉ้อฉลทำให้ตัวเลขสวยงามเกินจำเป็นเพื่อปิดบังความไม่ปกติของกิจการ
ในวงการหุ้น วินโดว์เดรสซิ่ง ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะคนที่ชอบใช้และจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ จะเป็นพวกผู้จัดการกองทุนทั้งหลายที่ลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนเมื่อวันสิ้นงวดแต่ละไตรมาสดูดี ที่ต้องทำก็เพราะว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนของกองทุนแต่ละแห่งนั้น เขาวัดกันที่ราคาตลาดของหุ้น (มาร์ก ทู เดอะ มาร์เก็ต-mark to the market) เป็นสำคัญ
กลยุทธ์ “ปรับเปลี่ยน” (switching strategy) พอร์ตการลงทุน เน้นการเร่งขายหุ้นที่มีผลประกอบการไม่ดี หรือซื้อมาแล้วขาดทุนออกไป แล้วซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดีหรือมีอนาคตสดใสเข้ามาแทนที่ หรือ กำลังจะประกาศผลประกอบการที่ดีเป็นพิเศษในช่วงใกล้สิ้นไตรมาส
การทำวินโดว์เดรสซิ่งได้กระทำตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องทำก่อนสิ้นไตรมาส เพียงแต่มายาคติของนักลงทุนที่ไม่เข้าใจในกลยุทธ์การปรับพอร์ตของกองทุน (แล้วผู้จัดการกองทุนก็แสร้งโง่ไปด้วย) ทำให้เข้าใจกันผิด ๆ ต่อเนื่องมาว่า การทำวินโดว์เดรสซิ่ง คือการดันราคาหุ้น หรือการเข้าซื้อทางเดียวของกองทุนเพื่อให้หุ้นราคาวิ่งแล้วตัวเลขพอร์ตดูดี
นักลงทุนที่ชาญฉลาด ก็คงจะต้องดูด้วยว่า ทิศทางการลงทุนในพอร์ตลงทุนของบรรดาผู้จัดการกองทุนนั้น มุ่งไปทางทิศใด เช่น ก่อนจะสิ้นไตรมาส กองทุนมีการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตจำนวนมากผิดปกติ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะทำวินโดว์เดรสซิ่งตอนปิดไตรมาส ก็น่าจะเป็นการขายออกเพื่อ “ตัดขาดทุน” ซึ่งเป็นการทุบราคามากกว่า
ความเชื่อและความเข้าใจเรื่องนี้ สอนกันไม่ได้ ถ้านักลงทุนไม่ขยันทำการบ้าน