พาราสาวะถี

ยอมรับว่า “ฉุน” ที่ถูกคนไทยต่อต้านระหว่างการเดินทางไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส เลยทำให้หลังลงเครื่องบินที่บน.6 จึงออกอาการให้สัมภาษณ์ดุเดือด สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ก็อ้างว่าไม่ได้พาดพิงถึงใคร โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คำแก้ตัวพอฟังได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวที่เมืองน้ำหอมก็น่าที่จะทำให้ท่านผู้นำหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย


อรชุน

ยอมรับว่า “ฉุน” ที่ถูกคนไทยต่อต้านระหว่างการเดินทางไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส เลยทำให้หลังลงเครื่องบินที่บน.6 จึงออกอาการให้สัมภาษณ์ดุเดือด สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ก็อ้างว่าไม่ได้พาดพิงถึงใคร โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คำแก้ตัวพอฟังได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวที่เมืองน้ำหอมก็น่าที่จะทำให้ท่านผู้นำหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

เนื่องจากชาวไทยที่พำนักอยู่ในปารีสและภาคพื้นยุโรปได้ชุมนุมขับไล่บิ๊กตู่และคณะรัฐมนตรีที่ติดตามไปเยือนฝรั่งเศส โดยชูป้ายผ้าผืนใหญ่ “เรารู้สึกอับอายผู้นำเผด็จการมาเยือนฝรั่งเศส” นอกจากนี้ยังถือป้าย “เผด็จการบรรลัย ประชาธิปไตยจงเจริญ!” “คืนประชาธิปไตยให้คนไทย พวกเราต้องการเลือกตั้ง” และอีกหลายข้อความที่ชวนให้ของขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงเช้าของวันที่ 25 มิถุนายน จรัล ดิษฐาอภิชัย จรรยา ยิ้มประเสริฐ ก็ไปยืนชู 3 นิ้วหน้าโรงแรมที่พักของหัวหน้าคสช.และผู้ติดตามด้วย และยังมีรายงานด้วยว่า กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวไทยกลุ่มนี้ ในช่วงที่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟบริเวณดังกล่าว ได้เจอกับคณะของข้าราชการไทยที่ติดตามท่านผู้นำไป จึงได้แจ้งว่าต้องการเจรจากับพลเอกประยุทธ์ โดยอยากพูดคุยแบบคนไทยที่ไม่มีปืนจ่อหัว ขอให้พลเอกประยุทธ์ออกจากที่พักมาเจอได้เลย ทำให้คณะของข้าราชการกลุ่มดังกล่าวได้ออกจากร้านกาแฟทันที

นี่แหละคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านผู้นำหัวเสีย แม้จะท่องคาถาว่าไม่โกรธเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน แต่ปฏิกิริยาที่แสดงออกนั้นชัดเจนว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาประเทศไทยแล้ว ก็ยังไม่วายที่จะต้องมาหัวเสียต่อกับข่าวคราวเรื่องการห้ามจำหน่ายนิตยสารไทม์ฉบับที่หน้าปกเป็นรูปของผู้นำเผด็จการไทยแลนด์

จนบิ๊กตู่ต้องออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ห้าม ขณะที่ตัวเองจะไปซื้อถึง 10 เล่ม แม้จะเป็นการพูดเชิงประชดประชัน แต่ก็เป็นความขึงขังที่พยายามทำให้เห็นว่าไม่ได้จำกัดสิทธิ เสรีภาพในการรับรู้ของประชาชนถึงขนาดนั้น ซึ่งความจริงมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะหนังสือระดับโลกอุตส่าห์สัมภาษณ์และนำเสนอท่านผู้นำเสียเด่นขนาดนี้ ควรที่จะต้องเปิดกว้างให้คนไทยได้มีโอกาสรับรู้ว่าเขามองประเทศไทยและผู้นำประเทศยุคนี้เป็นอย่างไร

หรือว่าความเป็นจริงแล้วท่านผู้นำไม่ได้มีคำสั่งใด ๆ เช่นเดียวกับฝ่ายบริหารรายอื่น แต่ว่าลิ่วล้อบริวารประสงค์ดีไปจัดการเคลียร์เพื่อไม่ให้บาดหูบาดตาของผู้มีอำนาจเสียก่อน เข้าทำนองนายไม่ได้ว่าแต่ขี้ข้าเสนอหน้าอะไรประมาณนั้น หรืออีกมุมเป็นเพราะคนที่ไปสั่งไม่ให้ขายนิตยสารฉบับนี้รู้ว่าคนดูแลความมั่นคงอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก จึงไม่อยากให้มาวางขายเพราะเดี๋ยวนายจะเสียหน้าที่ไม่รู้ว่าเขานำเสนออะไรแล้วไปแลกเปลี่ยนกับท่านผู้นำไม่ได้ (ฮา)

ขณะเดียวกันก็มีเรื่องฮือฮาที่ต่อเนื่องจากกรณีอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกของพี่ใหญ่ โดย ธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตเศรษฐศาสตร์ชั้นปีที่ 4 ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ถูกผู้บริหารขอให้ยกเลิกการจัดกิจกรรม “แปลภาษาอังกฤษให้ประวิตรฟัง” ที่กำหนดจะจัดขึ้นที่จุฬาฯเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ธนวัฒน์ระบุว่า ก่อนจัดกิจกรรมก็มีเหมือนจะเป็นคำร้องขอของผู้บริหารบางคนให้เลื่อนการจัด หรือไปจัดนอกรั้วจุฬาฯ ได้ไหม เพราะถ้าจัดกิจกรรมการเมืองในรั้วจุฬาฯ จะเป็นภาพลักษณ์ที่เสียหายต่อมหาวิทยาลัย ถ้าจะจัดต่อก็ไม่รู้ว่าจุฬาฯ จะมีมาตรการบังคับหรือลงโทษอย่างไร เพื่อความสบายใจของเพื่อนที่จะจัดกิจกรรมจึงตัดสินใจยกเลิก

หลังจากนั้นสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาฯ ก็ได้ออกแถลงการณ์มาตอบโต้ธนวัฒน์ โดยยืนยันว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทางฝ่ายกิจการนิสิตหรือผู้บริหารของมหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามหรือแทรกแซงกิจกรรมที่นิสิตกล่าวถึง เพราะทางมหาวิทยาลัยเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสนับสนุนการจัดกิจกรรมของนิสิตที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์เสมอ

ทำให้ธนวัฒน์ระบุว่า ผู้บริหารที่ฝากข้อความมาถึงตนก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรมนั้นไม่ได้มาจากฝ่ายกิจการนิสิต สิ่งที่ชวนให้คิดกันต่อจากเสียงสะท้อนของประธานนิสิตจุฬาฯ ก็คือ ก่อนหน้านี้ช่วงเดือนเมษายน จุฬาฯ เคยมีการอนุญาตให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาจัดกิจกรรมกับนิสิตได้ แต่ในครั้งนี้ผู้บริหารจุฬาฯ บางคนกลับมีการขอร้อง (แกมบังคับ) ตัวเองและเพื่อนไม่ให้ทำกิจกรรมในครั้งนี้

จะว่าไปแล้วความจริงคนโดยทั่วไปก็พอจะเข้าใจในท่าทีของผู้บริหารสถาบันแห่งนี้อยู่แล้วว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เห็นได้ตั้งแต่การจัดกิจกรรมเพื่อเชลียร์ผู้นำเผด็จการก่อนหน้านั้นแล้ว โดยใช้การนับกิจกรรมดังกล่าวเป็นคะแนนหอพัก ซึ่งเป็นเกณฑ์คะแนนที่นำไปใช้พิจารณาในช่วงปลายปีการศึกษาว่านิสิตที่เข้าร่วมจะได้อยู่หอพักนิสิตต่อหรือไม่ในปีการศึกษาต่อไป และความจริงก็เด่นชัดยิ่งในช่วงของการชัตดาวน์ประเทศแล้ว

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่ชัดเจนกว่าประเด็นข้างต้นนี้เสียอีก กับกรณี “กลุ่มสามมิตร” ที่ก่อนหน้านี้อ้างว่ารวบรวมอดีตส.ส.เพื่อรอพิจารณาว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวทางใกล้เคียงกับกลุ่ม ก็จะตัดสินใจเข้าร่วมงานกัน แต่วันวานมีการนัดหมายหารือกับสมาชิกของกลุ่มที่สนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สท์ กอล์ฟ แอนด์คันทรี คลับ ปทุมธานี

ก่อนที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะออกมาประกาศว่า ทางกลุ่มมีความชัดเจนที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในสมัยหน้า เพราะที่ผ่านมารู้สึกพอใจในการบริหารประเทศตลอด 4 ปี และสนับสนุนนโยบายยุทธศาสตร์ชาติที่ออกมาเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่แทงกั๊กกันแล้ว นั่นก็หมายความว่า พรรคพลังประชารัฐที่กลุ่มนี้จะเข้าไปร่วมคือของจริงและเป็นพรรคของคสช.แน่นอน

แม้ว่าท่านผู้นำจะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาเปิดหรือปิดตัว ขอทำงานไปก่อน ก็เป็นเพียงแค่วาทกรรมทำให้ตัวเองดูดี ที่สำคัญคือจะได้ไม่ถูกครหาว่าช่วงชิงความได้เปรียบ และใช้อำนาจที่มีหาเสียงให้พรรคพวกของตัวเอง แต่มันไม่มีอะไรจะต้องเหนียมกันอีกแล้ว เพราะคนที่เขาอยากมีตำแหน่ง มีอำนาจแสดงตัวกันเสียขนาดนี้ มันยังจะต้องมีอะไรปิดเป็นความลับอีกหรือ

Back to top button