เปิดโผราคาหุ้น SET50 ครึ่งปีแรกบวกแค่ 12 ตัว แนะสอยของดีราคาถูกเพียบ!
เปิดโผราคาหุ้น SET50 ครึ่งปีแรกบวกแค่ 12 ตัว แนะสอยของดีราคาถูกเพียบ! ชู P/E ต่ำกว่าตลาดฯแถมอัพไซด์สูง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 6 เดือน พบว่า ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-29 มิ.ย.61 ส่วนใหญ่ปรับตัวลงมากกว่าขึ้น โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีเพียง 12 ตัว และมีหุ้นปรับตัวลดลงเพียง 37 ตัว และราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง
โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 9.02% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1595.58 จุด ( 29 มิ.ย.61) ลบไป 153.13 จุด ส่วนดัชนี SET50 ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง7.36% จากดัชนีที่ยืนอยู่ที่ระดับ 1135.14 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ 1051.636 จุด ( 19 มิ.ย.61) หรือลบไป 83.51 จุด
ทั้งนี้จะพบว่าดัชนี SET ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอ่อนตัวลงแรงและต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.โดยดัชนีอ่อนตัวหลุดจากระดับ 1800 จุด และในช่วงเดือนมิ.ย.61 ดัชนีอ่อนตัวไม่หยุดเห็นได้จากดัชนีหลุดแนวรับทั้ง 1700 จุด และระดับ 1600 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.-4ก.ค.61 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิไปแล้ว 185,216 ล้านบาท ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามภาวะตลาดมีโอกาศฟื้นตัวอีกครั้งหลังประเด็นการเมืองมีความชัดเจนจากแผนการจัดการเลือกตั้งต้นปี 62 ซึ่งคาดว่าเป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้ ขณะเดียวกันกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีการปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจประกอบกับแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/2561ออกมาสดใส และคาดจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสมตรงนี้น่าจะทำให้แรงเทขายนักลงทุนชะลอตัวบ้างแล้ว ตรงนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกอีกครั้ง
โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง 37 ตัว อาทิ BH,KTB,PTTGC,SCC, KKP,MTC,KBANK,TCAP,IRPC,CPN,DELTA,TU,BGRIM,SCB, TRUE,ROBINS,BJC,TMB,SPRC,TOP, DTAC, MINT,CENTEL,EA,BEAUTY,CBG,โดยหุ้นเหล่านี้ถือว่าปรับตัวลงแรง และบางตัวอ่อนตัวแรงเกิน 40% ตรงนี้ถือเป็นโอกาสเข้าเก็บของดีราคาถูก เพราะด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งก็เชื่อว่าหุ้นจะดีดกลับไปที่ระดับเคยขึ้นแรงก่อนหน้าอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ 3 ตัวคือ KTB,TCAP,BBLโดยเห็นได้จากราคาหุ้น KTB อยู่ที่ระดับ 16.70 บาท (29 มิ.ย.) ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 20.95 บาท ส่วน TCAP อยู่ที่ระดับ 46.75 บาท (29 มิ.ย.) ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 54.84 บาท ด้าน BBL ราคาอยู่ที่ระดับ 195.50 บาท (29มิ.ย.) ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 212.41 บาท ที่น่าสนใจมีหุ้นหลายตัวราคาต่ำกว่า P/E ตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 3 ก.ค.61 อยู่ที่ระดับ 16.57 เท่า
ด้านที่หุ้นปรับตัวขึ้นสวนภาวะตลาดหลักทรัพย์มีทั้งหมด 12 ตัว อาทิ KTC,PTTEP,BDMS,TOA,GLOW,PTT,LH, BTS, HMPRO,EGCO,IVL และ CPF โดยหุ้น KTC ครองแชมป์หุ้น SET50 พุ่งแรงในรอบครึ่งแรกปีนี้เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนทั้งผลกำไรที่สดใสและแผนธุรกิจที่โดดเด่นทำให้หุ้นทนต่อภาวะตลาดผันผวนได้เป็นอย่างดีในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
บล.ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค.ต่อเนื่องถึงเดือนส.ค.61 ว่า สำหรับตลาดหุ้นเดือนก.ค.น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง โดยดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากระดับ Forward PE ปัจจุบันอยู่เพียง 13.3 เท่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่จูงใจในแง่ของ Valuation แล้ว และหากไล่ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเดือนก.ค. ก็ไม่น่ามีปัจจัยอะไรที่มีนัยสำคัญมากดดันตลาด นอกเหนือไปจากประเด็นสงครามการค้าที่เป็นปัจจัยรบกวนเชิง Sentiment เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนส.ค. แนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีปัจจัยลบที่อาจเข้ามากระทบ ได้แก่ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติประเภท Passive funds จากการที่ MSCI เตรียมเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Share ของจีนเข้าสู่การคำนวณดัชนี MSCI EM (ดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่) เป็นรอบที่สอง ซึ่งในรอบแรกเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมาก็ส่งผลกดดันต่อหุ้นไทยไปในระดับหนึ่งแล้ว โดยทางทรีนีตี้ประเมินว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกจากประเทศเกิดใหม่อื่นเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงของประเทศอิตาลี ที่มีการครบกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนส.ค.นี้ หากในระยะเวลาใกล้ๆ สถานะการคลังของประเทศอิตาลียังไม่ค่อยดี และบริษัทจัดอันดับเครดิตมีการออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจส่งผลให้เกิดบรรยากาศเชิงลบกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้
ดังนั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนก.ค.นั้น สำหรับผู้ที่ยังถือเงินสดในระดับมากกว่าปกติ ให้เข้าสะสมหุ้นที่ระดับปัจจุบันแถวดัชนี 1,600 จุด และคาดหวังการฟื้นตัวของดัชนีขึ้นมาที่บริเวณ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย หรือหากในกรณีดีสุดที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทยอยออกมาดีกว่าตลาดคาด ดัชนีก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,700 จุดได้เช่นกัน มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีการปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสม เช่น PTT และ SCC เป็นต้น
บล.เคจีไอ ระบุว่า SET น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในเดือนก.ค.นี้ ภาพรวมดัชนีฯมองเป็น sideways เนื่องจากน่าจะผ่านช่วงที่กระแสเงินทุนไหลออกหนักสุดไปแล้ว โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือไม่ถึง 30%
นอกจากนี้ยังพบว่าการ de-rate PER หุ้นเกิดขึ้นค่อนข้างแรงและน่าจะสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย, ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น และภาวะสภาพคล่องในตลาดโลกตึงตัวในปีหน้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะยังคงกดดันตลาดต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของขนาดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้น จึงคาดว่าค่าเงิน และสินทรัพย์เสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ (emerging markets)จะยังคงผันผวนอยู่ต่อไปในระยะสั้นๆ นี้
ด้วยมุมมองที่ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า และผลที่จะเกิดกับภาวะเศรษฐกิจโลก ยังส่งผลลบต่อหุ้นเชื่อมโยงปัจจัยภายนอก จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นบิ๊กแคปโดยทั่วๆ ไป ซึ่งอาจจะถูกกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ยังประเมินได้ลำบาก และแนะนำให้เน้นไปที่หุ้นที่มีธีมน่าสนใจเช่นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2561 แข็งแกร่ง หุ้นที่เน้นธุรกิจภายในประเทศและมีค่า PER ไม่สูงและหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน