โบรกฯ คัด 3 ประเด็นเด่นน่าจับตาวันนี้ พร้อมแนะ “Selective Buy” 6 ธีมหุ้นมีปัจจัยบวกหนุน
โบรกฯ เปิด 3 ประเด็นสำคัญวันนี้ พร้อมแนะ “Selective Buy” 6 ธีมหุ้นมีปัจจัยบวกน่าลงทุน
บล.กรุงศรี ระบุว่า บล.กรุงศรีมีมุมมองเป็นกลาง คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,620 – 1,640 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน โดยแม้ว่าจะได้แรงหนุนจากการ Preview งบ 2Q18 ที่เริ่มประกาศในช่วงกลางเดือนก.ค. นำโดยกลุ่มธนาคาร ประกอบกับราคาน้ำมันที่ทรงตัวระดับสูงเหนือ 74 US/Barrel ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน
อย่างไรก็ตามความกังวล Trade war ระหว่างสหรัฐกับจีนยังคงเป็นแรงกดดันต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลกโดยวันพรุ่งนี้ 6 ก.ค. สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนล็อตแรก 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่จีนจะเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐ 545 รายการมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน (ส่วนสินค้าล็อตที่สองที่จะเก็บภาษีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา)
นอกจากนี้ Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง ( Net sell 1.8 แสนล้านบาท YTD.) รวมถึงแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าจะกดดันให้ดัชนีผันผวนต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
1.กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ (BBL KBANK SCB KTB) ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในครึ่งปีหลัง
2.BANPU ราคาถ่านหินกำลังขึ้นทดสอบ High ในรอบ 6 ปีครึ่งล่าสุด 116.5 US/Ton
3.กลุ่มพลังงาน ( PTTEP, PTT ) ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่งเหนือ 74 US/Barrel
4.KCE DELTA HANA CPF GFPT EPG อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าล่าสุด 33.1 Bath/USD
5.PSL TTA อานิสงส์ค่าระวางเรือทำ High ในรอบ 7 เดือนล่าสุด 1,567 จุด
6.กลุ่มปันผลครึ่งปีเด่น ADVANC, INTUCH, KKP, QH, LH และ SPALI
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) โค้งสุดท้ายก่อนมาตรการเรียกเก็บภาษีระหว่างสหรัฐและจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยจีนระบุจะไม่เป็นฝ่ายแรกที่จะประกาศขึ้นภาษี : ในวันพรุ่งนี้ 6 ก.ค.มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศจะเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยสหรัฐสหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกัน
โดย ล่าสุดจีนออกมาระบุว่าจีนไม่ได้เป็นฝ่ายแรกที่จะประกาศใช้มาตรการดังกล่าว นั่นหมายความว่าหากสหรัฐไม่ประกาศใช้ จีนก็จะไม่ประกาศใช้เช่นกัน ประเด็นนี้จึงขึ้นอยู่กับสหรัฐว่าจะต้องการเจรจาหรือจะเลือกใช้นโยบายแข็งกร้าวเช่นเดิม (หากมีการเจรจาและชะลอการบังคับใช้จะเป็นบวก แต่หากทั้งสองประเทศเดินหน้าประกาศใช้จะยังเป็นลบกับตลาด)
(-) วานนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 18 มีมติ 5 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% และประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและดีกว่าที่เคยประเมินไว้ และหากเศรษฐกิจยังรักษาระดับการเติบโตได้ดี คาดว่าการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปัจจุบันก็จะเริ่มลดลง นั่นหมายความว่าแบงก์ชาติได้ส่งสัญญาณถึงโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับ 1)เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง 2) เงินเฟ้อปรับขึ้นสู่กรอบเป้าหมายอย่างชัดเจน และ 3)ผลกระทบจาก Trade war ไม่รุนแรง
(+/-) คืนนี้ติดตามรายงานการประชุมของเฟด (Fed minute) และวันศุกร์ตามดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ เพื่อจับสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งปีหลัง : เราคาดว่าการเปิดเผยรายงานการประชุมของเฟด (Fed minute) ในคืนนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแถลงการณ์หลังการประชุมในช่วงเดือนที่ผ่านมา คือ เฟดยังส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ส่วนการประชุมในช่วงวันที่ 31 ก.ค. และ 1 ส.ค. คาดเฟดจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ยังมีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของสหรัฐในเดือนมิ.ย. ที่จะประกาศออกมาในวันพรุ่งนี้ หากตัวเลขการจ้างงานยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราการว่างงานยังลดลงอย่างต่อเนื่องอาจจะกลายเป็นตัวเร่งให้เฟดเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นได้