ซื้อเมื่อเลือดนองพื้นถนน

ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่สงครามจริงทางการค้าเริ่มประจัญบาน จากการที่สหรัฐฯ และจีนเริ่มประจัญบานยกแรกด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารายการสินค้านำเข้าจากอีกประเทศหลายร้อยรายการรวมเงินที่เดิมพันมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งหากคิดเป็นยอดรวมจะตก 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ มีปรากฏการณ์สำคัญต่อทิศทางตลาดหุ้นสำคัญของโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่สงครามจริงทางการค้าเริ่มประจัญบาน จากการที่สหรัฐฯ และจีนเริ่มประจัญบานยกแรกด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารายการสินค้านำเข้าจากอีกประเทศหลายร้อยรายการรวมเงินที่เดิมพันมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งหากคิดเป็นยอดรวมจะตก 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ มีปรากฏการณ์สำคัญต่อทิศทางตลาดหุ้นสำคัญของโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย

เช้าวันศุกร์ตลาดหุ้นไทยเปิดลบจากแรงกังวลในสงครามการค้า แต่หลังจากเที่ยงวันที่มีการประกาศของสหรัฐฯ เล่นงานจีนไป โดยได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ ปรากฏว่าเกิดแรงซื้อกลับมาในตลาดภาคบ่ายจนดัชนีปิดบวก

เช่นเดียวกันดัชนีดาวโจนส์ และแนสแดกของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันศุกร์ ไม่ใส่ใจกับ ปัจจัยการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้กดดันตลาดอยู่ แม้ว่าจีนก็ได้ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในวงเงินที่เท่ากัน รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว หากจีนยังคงตอบโต้สหรัฐฯ และไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ

ยิ่งดัชนีตลาดหุ้นแนสแดกด้วยแล้วที่บวกกว่า 100 จุด ทะลวงข้ามแนวต้านสำคัญ และเส้นกราฟสัญญาณเทคนิคกลายเป็นขาขึ้นเต็มตัว

นักวิเคราะห์และผู้บริหารกองทุนอธิบายว่า การที่ดัชนีวิ่งสวนทางข่าวร้ายในวันศุกร์เกิดจาก 2 ปัจจัยสำคัญคือ 1) ความชัดเจนในเรื่องสงครามการค้า ถูกซึมซับไปหมดแล้ว ถึงเวลาซื้อครั้งใหญ่ตามอมตะวจีเมื่อ 300 ปีก่อน ของนาธานร็อธไชลด์ ที่ร่ำรวยจากสงครามวอเตอร์ลู จากประโยคเต็ม ๆ ว่า “Buy when there’s blood in the streets, even if the blood is your own.” (ซื้อเมื่อเลือดนองถนน แม้ว่าเลือดนั้นจะเป็นของคุณเองก็ตาม) 2) นักลงทุนยังขานรับการเปิดเผยตัวเลขขาดดุลการค้า และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ

ปฏิบัติการของเกมหุ้น ที่เกิดขึ้นนี้คือ contrarian trading ที่มีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อแบบเดียวกับนาธาน ร็อธไชลด์ ที่มีความเชื่อฝั่งใจว่าเมื่อตลาดเลวร้ายสุด ๆ เป็นโอกาสดีที่จะทำกำไร ดังที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เตือนว่า “ถ้าทุกคนเห็นตรงกันเกี่ยวกับการลงทุนของคุณ อาจจะเป็นไปได้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก”

การลงทุนแบบ “ชาวสวน” นี้ มุ่งไปในทิศทางที่สวนกระแส พยายามที่จะทำสิ่งตรงข้ามกับฝูงชน ชาวสวนจะตื่นเต้นอย่างมากเมื่อบริษัทที่ดีราคาดิ่งเหว และ จะว่ายทวนกระแสด้วยเชื่อว่าตลาดมีความผิดพลาดทั้งการที่ราคาขึ้นสูงสุดและตกต่ำสุด ยิ่งราคาสวิงมากเท่าไร ความผิดพลาดของตลาดก็ยิ่งมีมากขึ้นเช่นกัน

แม้ว่า อย่างที่ทราบกันดี การลงทุนแบบสวนกระแสนั้นไม่ได้มีแต่กำไรถ่ายเดียว เพราะมีความเสี่ยงเช่นกัน หากอ่านสัญญาณผิดพลาด

ในเวลาที่นักลงทุนสวนกระแสที่มีชื่อเสียงหรือ “ผู้ขับเคลื่อนตลาด” ได้ทุ่มเงินลงทุนลงไป ในขณะที่คนทั่วไปมีความคิดเห็นตรงกันข้าม แต่สุดท้ายชาวสวนก็ประสบผลสำเร็จ ไม่ได้ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนักลงทุนแบบ “ชาวสวน” ต้องค้นคว้าอย่างจริงจัง วิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าฝูงชนนั้นผิดพลาด ดังนั้นเมื่อหุ้นเริ่มปักหัวลง นักลงทุนสวนกระแสจะยังไม่เข้าซื้อในทันทีทันใด แต่เขาจะต้องค้นหาสาเหตุก่อนว่าอะไรทำให้หุ้นตกลงมา และราคาได้ลงมาถึงระดับที่พอใจ ก่อนจะตัดสินใจว่า ช่วงเวลาที่เลวร้ายสุด เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะซื้อ

จากประสบการณ์ในอดีตของรอบการเคลื่อนตัวขาลงตลาด  นักลงทุน “ชาวสวน” จะพบว่า มีช่วงเวลาดีเยี่ยมที่จะเข้าลงทุนในขณะที่ตลาดสับสนอลหม่าน อาทิ การตกต่ำในปี 1987 ที่เรียกว่า Black Monday ดาวโจนส์ตก 22% ภายในวันเดียว ในปี 1973-1974 ช่วงตลาดหมีลบถึง 45% เป็นเวลา 22 เดือน และในวันที่ 11 กันยายน  2001 การก่อวินาศกรรมทำให้ตลาดหุ้นตกลงอย่างมาก

นอกจากนั้น ภาวะตลาดหมีในปี 1973-1974 ช่วยให้บัฟเฟตต์มีโอกาสซื้อหุ้นวอชิงตันโพสต์ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 100 เท่า (ยังไม่รวมเงินปันผล) บัฟเฟตต์กล่าวในขณะนั้นว่า “เขาซื้อหุ้นในบริษัทที่ลดราคาอย่างสุด ๆ”  เวลานั้น วอชิงตันโพสต์มีมูลค่าตลาด 80 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่ควรจะขายได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านเหรียญ

ตัวอย่าง “ชาวสวน” ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ อาจจะเป็นมายาได้ แต่โดยภาพรวมแล้ว นักลงทุนสวนกระแสที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน ล้วนมีกลยุทธ์ของตัวเองในการลงทุนที่เห็นว่ามีโอกาสจะชนะ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันก็คือ พวกเขาจะรอคอยให้ตลาดนำพาโอกาสทองมาหา มากกว่าจะไล่ซื้อตามหุ้นเหล่านั้น

หากพิจารณาภาพรวมจากสัญญาณทางเทคนิค จะเห็นได้ว่า โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมในช่วงเวลาประกาศงบไตรมาสสองจะกลับขึ้นมาบวกต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ย่อมมีความเป็นไปได้สูง และหากสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ดัชนี SET สามารถยืนปิดเหนือ 1,650 จุดได้ นักลงทุนแบบ “ชาวสวน” คงจะมีบทเรียนที่ดีให้จดจารกันไปนาน

การซื้อเมื่อเลือดนองถนน จะได้รับการตอกย้ำอีกครั้งถึงความถูกต้อง

Back to top button