พาราสาวะถี
ปฏิบัติการช่วย 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย ยังคงดำเนินการไปต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพา 4 ชีวิตส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ภารกิจครั้งนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจต่อการแย่งนำเสนอข่าวของสื่อแต่ละสำนัก ถึงขั้นส่งโดรนบินประกบเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงผู้ประสบเหตุหรือแม้กระทั่งการนำเสียงจากวิทยุสื่อสารไปนำเสนอเพื่อแสดงถึงความรวดเร็วของทีมข่าวตัวเอง แต่ทั้งหมดเมื่อย้อนกลับไปนี่คือ “การขาดสำนึกรับผิดชอบ” อย่างรุนแรง
อรชุน
ปฏิบัติการช่วย 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย ยังคงดำเนินการไปต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพา 4 ชีวิตส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ภารกิจครั้งนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจต่อการแย่งนำเสนอข่าวของสื่อแต่ละสำนัก ถึงขั้นส่งโดรนบินประกบเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงผู้ประสบเหตุหรือแม้กระทั่งการนำเสียงจากวิทยุสื่อสารไปนำเสนอเพื่อแสดงถึงความรวดเร็วของทีมข่าวตัวเอง แต่ทั้งหมดเมื่อย้อนกลับไปนี่คือ “การขาดสำนึกรับผิดชอบ” อย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นการหลับหูหลับตาตอบโต้ตามหน้าที่หรืออย่างไรไม่ทราบ ต่อกรณีกระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือเปิดผนึกชี้แจงนิตยสารไทม์ เกี่ยวกับบทความที่ไทม์ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เรื่องผู้นำไทยสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตยแต่กลับกระชับอำนาจ เอาแค่คำชี้แจงเรื่องสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนก็น่าอับอายขายขี้หน้าแล้ว
หนังสือของกระทรวงการต่างประเทศจากไทยได้อธิบายต่อนิตยสารไทม์ว่า รัฐบาลไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่และเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย บทวิเคราะห์ของผู้เขียนบทความระบุว่าประเทศไทยกำลัง “ถอยหลังไปสู่การเป็นเผด็จการอย่างถาวร” เป็นการกล่าวหาที่เกินจริงอย่างเลวร้าย มองข้ามการดำเนินการของไทยเพื่อไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนตามโรดแมปที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
ตามมาด้วยการบอกว่าในข้อเท็จจริง นับตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศ ตัวเลขสถิติต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมทำให้เกิดผลขึ้นได้จริง และยังมีการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกและมีความยากลำบาก อาทิ การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) มากไปกว่านั้นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ
น่าขำกับความไม่รู้สึกละอายต่อคำอธิบายของกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนตามโรดแมปที่ประกาศ โถ ! ไม่รู้ว่าความจำสั้นหรืออย่างไร ก็ท่านผู้นำเรานี่ไม่ใช่หรือที่เสียสัตย์ระดับนานาชาติด้วยการประกาศว่าจะเลือกตั้งแล้วก็เลื่อนมาหลายรอบ ความเป็นผู้นำระดับโลกนั้น สัจจะเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเกิดอาการปลิ้นปล้อน มันย่อมทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อถือลำบาก
ขณะที่ประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจนั้น ถามว่าเชื่อตามนั้นหรือว่ามันดีขึ้นจริง ก็สมแล้วที่เขามองว่าคนที่ทำงานอยู่กระทรวงแห่งนี้ ทำตัวติดดินไม่เป็น ไร้ความเข้าใจคนระดับล่าง ก่อนจะส่งหนังสือไปตามหน้าที่นั้น ไม่ได้แหกตาดูหรือไปสัมภาษณ์สัมผัสกับคนส่วนใหญ่ของประเทศก่อนหรือว่า เศรษฐกิจดีเยี่ยม ประชาชนหน้าใส เงินในกระเป๋าตุงเลยใช่ไหม
ยิ่งการไปอ้างว่าเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชนให้เป็นวาระแห่งชาติ ยิ่งทำให้ไทยกลายเป็นตัวตลกในเวทีนานาชาติ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเรื่อง 4 ปีผลงานของรัฐบาลคสช.ที่ล้มเหลวไปแจ้งจับเอาผิดทำไม กลุ่มอยากเลือกตั้งจัดชุมนุมเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งภายในปีนี้ ทำไมจึงถูกจับกุมและดำเนินคดี
นี่แหละพฤติกรรมที่มันเข้าข่ายเผด็จการเต็มรูปแบบ เพราะไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง หรือไม่ฟังข้อเสนอแนะของคนที่ออกมาเคลื่อนไหวตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ สมแล้วที่กระทรวงบัวแก้วยุคนี้เมื่อถามไถ่ไปยังต่างประเทศเรื่อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลบหนีไปตั้งนาน จนป่านนี้ยังไม่ได้รับความร่วมมือใด ๆ กลับมา โดยที่คนซึ่งถูกติดตามไปปรากฏตัวในต่างประเทศเป็นข่าวใหญ่โต เท่ากับเป็นการตบหน้าเย้ยหยันกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ วัฒนา เมืองสุข โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ตามกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศ ดังนั้น การที่ทำหนังสือไปถึงนิตยสารไทม์ที่เป็นเอกชน ตำหนิบทความว่ามาจากความคิดที่มีอคติ พร้อมกับยกย่องพลเอกประยุทธ์ว่าจะนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน แถมยังโกหกว่าคนไทยมักเรียกท่านผู้นำลุงตู่ เพราะสะท้อนถึงความตรงไปตรงมาและเข้าถึงได้นั้น ถือเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณาม
ถูกประณาม เพราะผิดหน้าที่และยังไปยกย่องเผด็จการที่คนทั้งโลกรังเกียจ การที่ไทม์เอารูปและเรื่องราวของพลเอกประยุทธ์ไปตีพิมพ์ เกิดจากการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์เอง โดยโฆษกรัฐบาลยังเอามาโฆษณาว่านิตยสารระดับโลกให้การยอมรับเอาเรื่องลงและเอารูปขึ้นปก จึงเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นการส่วนตัวไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการของนายกรัฐมนตรี
ส่วนการตั้งฉายา “สฤษดิ์น้อย” คือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กระทรวงการต่างประเทศที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศ จึงไม่มีหน้าที่ทำตัวเป็นทนายหน้าหอแก้ต่างให้กับหัวหน้าเผด็จการที่อยากขึ้นปกนิตยสารระดับโลก สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศควรทำคือ แนะนำให้หัวหน้าเผด็จการอยู่อย่างเงียบ ๆ พูดให้น้อยและรีบคืนอำนาจให้กับประชาชน
การยึดอำนาจเป็นเรื่องที่ทั่วโลกรังเกียจ ความพยายามที่จะสร้างภาพว่าได้รับการยอมรับจากนานาชาติโดยเฉพาะมหาอำนาจ จะต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศที่มาจากภาษีของประชาชนเสมอ กระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไม่ใช่ปกป้องเผด็จการ เมื่อมีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอารยประเทศก็จะกลับมาเป็นปกติ
เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยคงเห็นด้วยกับบทสรุปของวัฒนาที่ว่า หลังมีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง กระทรวงการต่างประเทศก็จะมีเรื่องที่เป็นประโยชน์ทำ จำไว้ว่าการปกป้องหรือยกย่องสิ่งที่ทั่วโลกรังเกียจคือการทำให้คนไทยต้องอับอายและเสียเกียรติภูมิ เรื่องการไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการนั้น ตัวของท่านผู้นำเป็นคนสารภาพเองว่า เข้าใจที่มาและการไปต่างประเทศหลายครั้งต้องอยู่ในภาวะเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่เหมือนเป็นสูตรสำเร็จของเผด็จการทุกยุคทุกสมัย เว้นยุคคมช. ที่ผู้นำซึ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจบริหารประเทศด้วยตัวเอง หลังจากนั้นจะตามมาด้วยการสืบทอดอำนาจ แม้วันนี้ท่านผู้นำจะด่าสื่อ ไม่พอใจการนำเสนอที่ไม่เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการ หรือแม้กระทั่งการปฏิเสธเรื่องดูดในทำนองไม่ทำอะไรเทือกนั้น แต่พฤติกรรมและขบวนการที่ขับเคลื่อนกันอยู่ มันเป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนว่าเป้าหมายของเผด็จการนั้นคืออะไร