WICE พุ่งกว่า 6% ลุ้น Q2 กำไรสดใส รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า-คว้างานต่อเนื่อง

WICE พุ่งกว่า 6% ลุ้น Q2 กำไรสดใส รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า-คว้างานต่อเนื่อง โดยปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 3.98 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 6.42% สูงสุดที่ 3.98 บาท ต่ำสุดที่ 3.74 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 40.79 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 3.98 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 6.42% สูงสุดที่ 3.98 บาท ต่ำสุดที่ 3.74 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 40.79 ล้านบาท

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2/61 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 เนื่องจากภาพรวมธุรกิจเข้าสู่สภาวะปกติ หลังผ่านช่วงโลว์ซีซั่นแล้ว ส่งผลให้บริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่า ทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนงวดไตรมาส 1/61

ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบการงวดครึ่งหลังปี 2561 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งความต้องการงานโลจิสติกส์ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูง เนื่องจากปริมาณการค้าระหว่างประเทศมีการขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยบริษัทยังได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนเพื่อขยายภาคการผลิตเดิม การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนด้านอีคอมเมิร์ซเข้าสู่ประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน

สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเดินหน้าขยายงานขนส่งทุกช่องทาง ทั้งการขนส่งทางทะเล ทางอากาศ และการให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นทุกช่องทางจากฐานลูกค้าเดิม และยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในส่วนของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบ Door-to-Door พร้อมกับร่วมพัฒนาและโปรโมตงานขนส่งทางอากาศ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ร่วมกันกับ Sun Express Logistics Pte. Ltd. (SEL) ประเทศสิงคโปร์

ส่วนดีลระหว่าง Universal Worldwide Transportation Limited (UWT) ประเทศจีน และฮ่องกง นั้น บริษัทได้เริ่มถ่ายโอนงานจากซัพพลายเออร์เดิมในประเทศจีนให้กับ UWT ในช่วงไตรมาส 2/61 แล้ว ประมาณ 20% คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่บริษัทได้วางไว้ตั้งแต่เข้าซื้อกิจการ และยังทยอยโอนงานให้ UWT เพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังไม่น้อยกว่า 50% ของปริมาณงานทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย เพื่อเข้าร่วมลงทุนให้บริการโลจิสติกส์ ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา จีน และเวียดนาม โดยบริษัทคาดว่าจะสรุปการร่วมทุนได้ภายในปลายปี 2561 อย่างน้อยจำนวน 1 ราย โดยกำหนดงบลงทุนไว้ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งการเข้าร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการของบริษัทให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ในเอเชีย

“บริษัทยังคงมองหาพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่เพิ่ม ด้วยวิธีการซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุน เพื่อต่อยอดการเติบโตแบบ Inorganic ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต พร้อมกับเตรียมศึกษาโมเดลเส้นทางการขนส่งข้ามชายแดนตามเส้นทาง One Belt One Road ของจีน ที่เป็นจุดเด่นและแรงขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศของจีนในอนาคต ดังนั้นบริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมในปี 2561 จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปี 2560 ทำสถิติการสูงสุดต่อเนื่อง” นายชูเดช กล่าว

Back to top button