จับตา KTC เทรดพาร์บาทวันแรก ลุ้นราคาวิ่งทะลุ 39 บ.
จับตา KTC เทรดพาร์บาทวันแรก ลุ้นราคาวิ่งทะลุ 39 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ก.ค. 61) บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC จะทำการซื้อขายพาร์ใหม่ หลังจากเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2561 บริษัทได้มีการแจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เรื่องการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของ KTC จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะซื้อขายพาร์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. 61
โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา KTC ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงพาร์ต่อกรมธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว หลังการเปลี่ยนแปลงพาร์เป็นหุ้นละ 1 บาท บริษัทมีจำนวนหุ้น 2.58 พันล้านหุ้น จากเดิมที่ 257.83 ล้านหุ้น ขณะที่มีทุนจดทะเบียนเท่าเดิมที่ 2.58 พันล้านบาท โดยมีทุนชำระแล้ว 2.58 พันล้านบาท
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวว่า โดยปกติแล้วหุ้นที่แตกพาร์ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง แต่ด้วยผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 ของ KTC ที่คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จึงแนะนำให้นักลงทุนถือ
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า การแตกพาร์ไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน และ Wealth ของผู้ถือหุ้นก็เท่าเดิม แต่ทำให้การซื้อขายหุ้นคล่องตัวมากขึ้น ราคาหุ้นที่ลดลงจากเลขสามหลักเป็นสองหลักเปิดช่องให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายได้มากขึ้น
หากใช้ราคาปิดวานนี้ (12 ก.ค.) ที่ 354.00 บาท เมื่อถึงวันนี้ (13ก.ค.) ที่ใช้พาร์ใหม่ ราคาหุ้นจะปรับลงเป็น 35.40 บาท แต่จำนวนหุ้นของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ความจริงการแตกพาร์ไม่ทำให้ราคาพื้นฐานเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้น KTC ดีดตัวขึ้นสูงมาก่อนหน้าแล้ว จึงอาจต้องระมัดระวังว่าเมื่อใช้พาร์ใหม่แล้ว อาจกลับไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้แรง ก็เนื่องจากมีการเก็งกำไรมาก่อนหน้าส่วนหนึ่งแล้ว
ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ราคาเป้าหมายของ KTC สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 392 บาท (39.20 บาท : พาร์ใหม่) อ้างอิงจาก PER ที่ 22 เท่า
โดยก่อนหน้านี้ นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC ออกมาเผยว่า การเปลี่ยนแปลงราคาพาร์ในครั้งนี้จะไม่กระทบกับแผนดำเนินงานของบริษัท โดยฝ่ายจัดการนั้นยังคงเน้นการบริหารงานที่จะให้ผลงานเติบโตขึ้นในทุก ๆ ปี และเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก
“การแตกพาร์นั้นขึ้นอยู่กับราคาหุ้น ณ เวลานั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราได้ปฏิเสธมาตลอด เพราะก็ยังมีหุ้นหลาย ๆ บริษัทที่ซื้อขายที่ราคาราว ๆ 100 บาท แต่เมื่อราคาปรับขึ้นมาถึงปัจจุบันหรือไม่ต่ำกว่า 300 บาท เราก็ถึงมามองว่าถึงเวลาแล้ว ซึ่งเราก็ทำตามอุตสาหกรรมที่แตกพาร์เหมือนกัน อาทิ PTT ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับราคาหุ้น เรายังคงเน้นการบริหารงานที่ดี มีการปรับกลยุทธ์ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเรายังคงมั่นใจในผลประกอบการของเราจะเติบโตในทุก ๆ ปี” นายระเฑียร กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังคงแผนการดำเนินงานในปีนี้ไว้ โดยบริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 3.3 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นทิศทางการเติบโตตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมามีการเติบโตถึง 65% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล และปัจจุบันบริษัทถือว่ามีความเข้มแข็งมาก โดยมีการตั้งสำรองสูงที่สุดในอุตสาหกรรมที่ราว 6,000 ล้านบาท