พาราสาวะถี
ขึ้นชื่อว่านักการเมือง เรื่องลีลาพลิ้วไหว หาคำอธิบายเวลาถูกตั้งคำถามหนัก ๆ นั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ใครก็ยากจะลอกเลียนแบบได้ ดังนั้น จึงป่วยการที่จะไปถามบรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายที่อยู่ในข่ายถูกดูดว่า “จริงหรือไม่” เพราะคนเหล่านั้นจะสรรหาสารพัดเหตุผลมาอธิบายเพื่อให้ตัวเองดูดี ใช่หรือไม่ รอเปิดตัวกันทีเดียวและการเลือกเช่นนั้นเหมาะสมหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
อรชุน
ขึ้นชื่อว่านักการเมือง เรื่องลีลาพลิ้วไหว หาคำอธิบายเวลาถูกตั้งคำถามหนัก ๆ นั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ใครก็ยากจะลอกเลียนแบบได้ ดังนั้น จึงป่วยการที่จะไปถามบรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายที่อยู่ในข่ายถูกดูดว่า “จริงหรือไม่” เพราะคนเหล่านั้นจะสรรหาสารพัดเหตุผลมาอธิบายเพื่อให้ตัวเองดูดี ใช่หรือไม่ รอเปิดตัวกันทีเดียวและการเลือกเช่นนั้นเหมาะสมหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
ขณะที่ฝ่ายกุมอำนาจ เนื่องจากมี “คนหัวหมอ” หรือเนติบริกรชั้นครูอยู่รายล้อมรอบตัว เราจึงจะได้ยินคำอธิบายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ผู้ตามหรือลิ่วล้อรายใดก็ตาม ความจริงก็ตั้งแต่การโชว์ชั้นเชิงอ้างพลังประชารัฐยังไม่ตั้งเป็นพรรคการเมือง และกลุ่มสามมิตรไม่ใช่กลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง จึงไม่ผิดกฎหมาย นั่นก็ทำให้เห็นแล้วว่าถ้าหน้าทนเสียอย่าง พร้อมใช้สีข้างเข้าถูก็ไม่มีใครกล้าตอแย
ส่วนเรื่องพลังดูดอันเป็นสิ่งที่ล้อไปกับกระบวนท่าการประชุมครม.สัญจรของรัฐบาลเผด็จการคสช. ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตระหนกตกใจอะไร โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย ในเมื่อนายใหญ่บอกแล้วว่า ใครอยากไปก็เชิญเลือกตั้งครั้งหน้าก็ปั้นเด็กรุ่นใหม่มาลงสนามสู้ การตีโพยตีพาย กระโตกกระตากไป ก็รังแต่จะถูกมองว่าเป็นพวกงอแง เอาแต่เล่นเกมการเมืองไปวัน ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น จะถูกพวกลูกคู่ที่รอร่วมงานกับผู้สืบทอดอำนาจคอยมาดิสเครดิตหรือโต้กลับพรรคนายใหญ่ช่วยผู้มีอำนาจเป็นระยะ ล่าสุด ก็มีวลีเด็ดเรื่องยุคทักษิณก็เคยดูดหรือคนที่พูดแต่เรื่องดูดเป็นผู้เฒ่าทางการเมือง ซึ่งจะว่าไปก็ถูกทั้งสิ้น การเมืองว่าด้วยเลือกตั้งยังอีกยาวไกล สถานการณ์นับจากวันนี้ไปจนชนเอาเวลาถ้าเลือกตั้งตามโรดแมปยังไม่รู้ว่า คนถืออำนาจจะมีเรื่องอะไรให้เสียหายอีกหรือเปล่า
นาทีนี้พยายามจะรักษารูปมวยกันสุด ๆ เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำพลาดท่า การ์ดตกมาเมื่อไหร่มีสิทธิ์ที่จะถูกหมัดน็อกได้ทุกเมื่อ เราจึงจะได้เห็นว่าอะไรที่เป็นงาน “เอาหน้า” มือประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลนี้ต้องรีบตักตวงและนำเสนอกันแบบไม่สนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบอย่างไร อย่างเช่นกรณีของทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ที่มีการยิงสัญญาณสดถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องถึง 2 หน
ครั้งแรกคือหลังปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 ชีวิตออกจากถ้ำสำเร็จ มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าว ไม่มีการบอกกล่าวกับสื่อวิทยุหรือโทรทัศน์ช่องใดทั้งสิ้น ใช้เวลารายการของคสช.หลังเคารพธงชาติ 6 โมงเย็นยิงสัญญาณแถลงข่าวกันแบบยาว ๆ ไม่มีใครจะไปตั้งข้อรังเกียจหรือแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ แต่ควรที่จะมีการเตรียมการและบอกกล่าวกันให้เป็นกิจจะลักษณะ แบบมืออาชีพกันเสียหน่อยปะไร
เช่นเดียวกับวานนี้ ที่มีการแถลงของ 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ พร้อมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ดีแล้วที่ใช้สื่อรัฐบาลในการเป็นสื่อกลางเพื่อลดผลกระทบต่อคำถามที่จะไปสะเทือนจิตใจความรู้สึกของเด็กและโค้ช และไม่ต้องให้สื่อไปแย่งตัวสร้างปัญหาชีวิตให้กับน้อง ๆ และครอบครัว แต่พอฟังสิ่งที่ “โฆษกไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด แถลงต่อนักข่าวก่อนงานจะเริ่มขึ้น โทรทัศน์ช่องไหนจะดึงสัญญาณการถ่ายทอดไปจนจบก็สามารถทำได้
พูดเหมือนไม่ง้อ หรือเข้าใจได้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องดึงสัญญาณเพราะคนทั้งโลกให้ความสนใจ แต่ถ้าจะบอกว่าในฐานะโฆษกรัฐบาลคสช. ฐานะรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ควรจะทำหนังสือแจ้งขอความร่วมมือจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกช่องดึงสัญญาณการถ่ายทอดสดโดยพร้อมเพรียงกัน น่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เหมาะสมมากกว่า
อย่าให้มีใครมากล่าวหาได้ว่า ไปนั่งตำแหน่งในกรมกร๊วกแล้วต้องทำตัวแบบชื่อที่ถูกคนค่อนขอดมาตั้งแต่ในอดีต ไม่รู้ว่าบทสรุปของการแถลงเป็นอย่างไร แต่มีคำถามที่คนอดสงสัยไม่ได้ ฟังกระทรวงสาธารณสุขและผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์แถลงข่าวเมื่อสุดสัปดาห์บอกว่าน้อง ๆ จะออกโรงพยาบาลในวันนี้ (19 กรกฎาคม)
นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ถ้อยแถลงที่บอกว่าในห้วงระยะเวลา 1 เดือนไม่อยากให้น้อง ๆ ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อใด เพราะเกรงจะกระทบต่อจิตใจ และแม้เด็ก ๆ จะแข็งแรงแล้วแต่ยังไม่ปกติควรที่จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วการที่นำตัวทั้งหมดมาใช้เวลา 45 นาทีให้สื่ออาวุโสทำหน้าที่แทนสื่อไทยและเทศในการซักถามนั้น ไม่ได้กระทบกับภาวะร่างกายและจิตใจของทั้ง 13 ชีวิตแล้วใช่หรือไม่
ไม่ได้ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง แต่ไม่คิดว่าผู้มีอำนาจซึ่งหมายถึงคสช.เพราะใช้รายการของตัวเองในการสัมภาษณ์สด จะรีบแถลงข่าวอะไรเช่นนี้ ฝ่ายเยาวชนและโค้ชหมูป่าอะคาเดมี่และครอบครัวไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว ความจริงอีกสักหนึ่งสัปดาห์ให้น้อง ๆ พักผ่อนอยู่บ้านจนสบายใจแล้ว ค่อยจัดแถลงใหญ่โตทีเดียวก็คงไม่สาย ถ้ากลัวใครจะไปปาดหน้าก็จัดเจ้าหน้าที่ประกบ จนกว่ารัฐบาลจะได้จัดงานแถลงที่เป็นทางการเรียบร้อยแล้วก็คงไม่มีใครว่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่ทำและถนัดมาตลอดของการครองอำนาจคือการสั่งและรวบรัดตัดตอน กรณีนี้ก็คงไม่ต่างกัน ถ้าจะมองโลกในแง่ดีก็คงจะเป็นประโยชน์กับทั้ง 13 ชีวิตที่ได้แถลงถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทุกคนทุกฝ่ายได้สิ้นสงสัย จะได้กลับไปพักฟื้นพักผ่อนให้เต็มที่ และหวังว่าทางการคงจะไม่ปล่อยให้น้อง ๆ กลุ่มนี้ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติในทันที อย่างที่บอกคงต้องมีคนหรือหน่วยงานเข้าไปช่วยประคับประคองความรู้สึกและดูแลการดำเนินชีวิตประจำวันกันอีกระยะ จนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง
เห็นประกาศของคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เรื่องกําหนดลักษณะของสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ พ.ศ.2561 ทั้ง 5 ข้อแล้วบอกได้คำเดียวว่า “อ่อนใจ” อย่างที่ “ใบตองแห้ง” ว่า นอกจากข้อที่บอกว่าสื่อที่มีเนื้อหาส่งเสริมการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่เหลือคือสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ในโอวาทรัฐคือสื่อที่อยู่ในกรอบ
ไม่ใช่สื่อที่เป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงสังคมซึ่งต้องเปิดกว้าง ต้องมีความหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่ภายใต้กรอบของคนส่วนใหญ่ หน้าที่สื่อจึงไม่อาจอยู่ในกรอบ แต่หน้าที่สื่อคือการถกเถียงเพื่อสร้างสิ่งใหม่ ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องตลกสิ้นดียุคที่อ้างเรื่องการปฏิรูปต้องก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่กลับคิดและพยายามจะจำกัดหรือแทรกแซงสื่ออยู่ตลอดเวลา พวกที่อ้าปากพูดพล่ามเรื่อง 4.0 ไม่รู้สึกอายหนังหน้ากันบ้างหรืออย่างไร