พาราสาวะถี
คนเราได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการเสียแล้ว ต่อให้ปากจะพร่ำบอกว่ากำลังสร้างประชาธิปไตย ใครเขาจะเชื่อ ดังนั้น การไปพูดที่สวนสัตว์อุบลราชธานีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายในอย่างล่อนจ้อน มนุษย์ไม่ว่าใครก็ตามหากอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเองไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็ย่อมเชื่อมั่นเชื่อถือ
อรชุน
คนเราได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการเสียแล้ว ต่อให้ปากจะพร่ำบอกว่ากำลังสร้างประชาธิปไตย ใครเขาจะเชื่อ ดังนั้น การไปพูดที่สวนสัตว์อุบลราชธานีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายในอย่างล่อนจ้อน มนุษย์ไม่ว่าใครก็ตามหากอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเองไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็ย่อมเชื่อมั่นเชื่อถือ
คำพูดของท่านผู้นำที่บอกว่า “มีหลายคนวิจารณ์ว่า ที่ทำเพราะจะอยู่ในอำนาจต่อ ถามจริงผมได้อะไรกลับมา ทำไมต้องให้คนมาด่า 4 ปีที่ผ่านมาที่ทรมานเพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูโทรศัพท์ วันนี้เลิกอ่านแล้ว ใครมาด่าก็มีสิทธิ์ชกปาก ผมไม่เคยทำร้ายใคร ก็มีสิทธิ์ไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำได้” ถ้าถามกันแบบตรงไปตรงมามีใครไปขอร้องให้ท่านเข้ามาอยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรือ
เปล่าเลย วิกฤติของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นหากท่านจะอ้างว่าเป็นเหตุผลให้ต้องใช้ตำแหน่งผบ.ทบ.กรุยมาสู่การยึดอำนาจ คำถามที่ตามมามากมายก็คือ การลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ไร้เบื้องหลังใช่หรือไม่ และนั่นไม่ใช่การเดินเกมเพื่อให้เกิดคณะรัฐประหารที่ชื่อว่าคสช.ใช่หรือเปล่า
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงเหตุและผลที่มันเป็นไปได้อย่างดี ความจริงหากไม่มุ่งหมายที่จะไปต่อหรือต้องการอย่างอื่น ก็ควรที่จะดู พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นตัวอย่าง ยึดอำนาจแล้วก็ปล่อยมือ เกษียณอายุราชการไปอยู่บ้านตามปกติ อยากจะเข้าสู่ถนนสายการเมืองก็ไปตั้งพรรคให้มันถูกต้องแล้วก็เข้าสู่กระบวนการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
แต่เมื่อท่านไม่ได้เดินแนวทางอย่างนั้น จะด้วยเหตุผลกลัวเสียของ สูญเปล่า อะไรก็สุดแท้แต่ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความต้องการหรือจะพูดให้ชัดคือความทะยานอยากที่จะอยู่สืบทอดอำนาจกันต่อไป เห็นได้ชัดจากขบวนการที่วางกลไกทุกอย่างไว้เพื่อรองรับการกลับมา เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรือไม่ได้ดั่งใจ จึงทำตัวเป็นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ซึ่งมันไม่ใช่วิถีของคนที่คิดจะเข้ามาปกครองประเทศโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
หากไม่อยากจะมีอำนาจจริง บอกแล้วหลายครั้งว่าก็ประกาศมันเสียให้ชัด และไม่ได้จะไปสนับสนุนพรรคการเมืองใดหรือคนในรัฐบาลเผด็จการไม่ได้คิดจะตั้งพรรคหรือแม้กระทั่งองค์กรยึดอำนาจที่ชื่อว่าคสช.ไม่คิดจะสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองใด ก็ประกาศยืนยันอย่างหนักแน่นเสีย แล้วก็ปล่อยให้นักการเมือง พรรคการเมืองแข่งขันกันไปตามระบบ
ทว่ายังคิดจะกลับมาเป็นนายกฯคนนอก ยังปล่อยให้นอมินีไปเดินสายดูดสารพัดนักการเมืองและกลุ่มการเมือง โดยไม่ผิดกฎหมายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็อย่ามาพล่ามบ่นเรื่องการถูกกล่าวหาว่าดูด และไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลยที่จะต้องออกอาการหงุดหงิดต่อการนำเสนอหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ เพราะการทำหน้าที่เหล่านั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะมีที่มาแบบใดก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความเป็นเผด็จการจากก้นบึ้ง มันจึงสะท้อนผ่านคำพูดประโยคที่บอกว่า “วันนี้ประชาชนจะเลือกเอง ต้องเลือกคนดี ๆ เลือกแบบเดิมทุกอย่างก็ตาย วันนี้ใครเกลียดผมไม่ชอบผม ขอให้เลิกอ่านหนังสือพิมพ์สัก 5 วันแล้วจะรักผมขึ้นมา ผมไม่เคยเกลียดใคร” ไม่มีนักประชาธิปไตยที่ใดในโลกที่จะบอกให้ประชาชนเลิกอ่านหนังสือพิมพ์หรือติดตามข่าวสาร
ความเป็นจริงที่รับรู้กันอยู่แล้ว ในเมื่อคิดว่ามีผลงานบานตะไท ไม่มีอะไรที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกเกลียดชังรัฐบาลนี้ ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นใด ๆ ที่จะไปปิดหูปิดตาประชาชน ในเมื่อรายการของคสช.ที่กรอกหูประชาชนมีทั้งช่วงหกโมงเย็นทุกวันเสาร์ถึงพฤหัสบดี และอีกช่วงในคืนวันศุกร์ ถ้าคืนความสุขแก่ประชาชนได้จริงอย่างปากว่า แล้วใยจะต้องมาบอกให้ประชาชนเลิกอ่านข่าว ดูข่าวกันเล่า
ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี มีการผลิตรายการเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของทั้งคสช.และรัฐบาลกันไปแล้วจำนวนเท่าไหร่ สูญเสียงบประมาณในการผลิตไปแล้วเท่าไหร่ มันไม่เกิดมรรคผลใด ๆ เลยหรืออย่างไร ในแง่ของผู้มีธรรมาภิบาลที่ท่านผู้นำพยายามยกมากล่าวแทบจะทุกเวที นี่เพียงพอหรือไม่ที่จะถามหาความรับผิดชอบจากใครก็ตาม ถ้าประเมินแล้วว่าสิ่งที่ทำไปมันเป็นความล้มเหลว
ประสาคนทั่วไปอาจจะบอกว่า “ห่วยแตก” แต่โดยมารยาทและความรับผิดชอบของสื่อคงจะไปใช้คำพูดเช่นนั้นไม่ได้ ทั้งหมดทั้งมวลหาได้เกิดจากการติติง ทักท้วงหรือวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อหรือใครก็ตามที่มองมุมต่างจากฝ่ายกุมอำนาจ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากผลแห่งการกระทำ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลงานอันเป็นรูปธรรมในความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่
ส่วนที่มีใครต่อใครไปรายงานท่านอย่างเลิศหรูนั้น มันก็แค่ตัวเลขหรือคำสอพลอที่ “แหกตา” ตัวท่านเองและคณะที่หลงเชื่อเท่านั้น ในเมื่อเชื่อมั่นในตัวเลขเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่คิดว่าทำดีแล้ว ทำไมจะต้องมาหวั่นไหวกับแค่การนำเสนอของสื่อเพียงหยิบมือ ซึ่งจะว่าไปแล้วสื่อก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดความนิยมในคณะผู้บริหารประเทศ ประชาชนต่างหากที่เป็นผู้เลือกและสะท้อนความสำเร็จในผลของงานที่ผู้นำประเทศและคณะได้ดำเนินการ
การออกอาการกับสื่อจึงไม่ได้เป็นผลดีใด ๆ มิหนำซ้ำ ยังจะเป็นการบั่นทอนความรู้สึกที่ดีของคนบางพวกที่หลับหูหลับตาเชลียร์คณะเผด็จการอีกต่างหาก ไม่เพียงแค่ผลงานที่สัมผัสจับต้องลำบากเท่านั้น แค่การจะทำตามสัญญาเหมือนบทเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้นยังทำไม่ได้ จนสุดท้ายเพลงดังกล่าวต้องถูกถอดทิ้งให้หายไปจากความทรงจำของประชาชน หรือถูกนำไปล้อในแง่มุมด้านลบหลายครั้งหลายหน
หรือแท้จริงแล้ว อาการไม่สบอารมณ์ของท่านผู้นำนั้น ไม่ได้เกิดจากปมปัญหาเรื่องพลังดูด ความจริงไม่ได้เกิดจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรัฐบาลไร้ผลงาน แต่เป็นความไม่พอใจที่สั่งให้ใครซ้ายหันขวาหันเหมือนที่ตัวเองเคยสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำมาตลอดระยะเวลาที่เป็นทหารมา 40 ปีไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้อแนะนำสำหรับท่านก็คือ เลิกคิดที่จะสืบทอดอำนาจแล้วกลับบ้านไปอยู่กับเมียเลี้ยงลูกปลูกผักปลูกหญ้าให้พลทหารมาคอยรับใช้น่าจะได้ดั่งใจมากกว่า เพราะประเทศไม่ใช่ค่ายทหารและประชาชนไม่ใช่พลทหารหรือทหารรับใช้