พาราสาวะถี
อย่างนี้จะไม่ให้คนคิดได้อย่างไรว่าเลือกตั้งมันมีโอกาสที่จะเลื่อนได้ตลอดเวลา เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลั่นวาจาแบบมีเงื่อนไข ยืนยันว่าจะเลือกตั้งต้นปีหน้าแน่นอน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ตีกันเหมือนก่อนที่ตัวเองจะทำการรัฐประหาร คำถามก็คือ คนที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สยบทุกองคาพยพให้อยู่ภายใต้อุ้งเท้าท็อปบู๊ตยังจะมีใครหน้าไหนกล้าหืออีกหรือ
อรชุน
อย่างนี้จะไม่ให้คนคิดได้อย่างไรว่าเลือกตั้งมันมีโอกาสที่จะเลื่อนได้ตลอดเวลา เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลั่นวาจาแบบมีเงื่อนไข ยืนยันว่าจะเลือกตั้งต้นปีหน้าแน่นอน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ตีกันเหมือนก่อนที่ตัวเองจะทำการรัฐประหาร คำถามก็คือ คนที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สยบทุกองคาพยพให้อยู่ภายใต้อุ้งเท้าท็อปบู๊ตยังจะมีใครหน้าไหนกล้าหืออีกหรือ
ยิ่งท่านผู้นำพูดยิ่งทำให้คนคิด เพราะคำว่าสงบเรียบร้อยในความหมายของคนทั่วไปกับฝ่ายที่กุมอำนาจคงต่างกันอย่างสิ้นเชิง ง่าย ๆ สถานการณ์ในปัจจุบันถือว่าสงบเรียบร้อยหรือไม่ คนทั่วไปก็จะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรที่เป็นปัญหา แต่เมื่อท่านทั้งหลายตีความก็จะหาเหตุว่ายังมีการวิพากษ์วิจารณ์ ยังมีคนเห็นต่างจากคณะเผด็จการ นี่คือความไม่สงบ
หากความสงบของคณะรัฐประหารคือ ทุกคนต้องฟัง ทุกฝ่ายต้องเชื่อที่ฝ่ายกุมอำนาจชี้นำ เช่นนั้นชาตินี้ก็ไม่มีทางที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าเผด็จการที่พยายามจะสวมเครื่องแบบประชาธิปไตย ทำอย่างไรมันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ ต่อให้พยายามทำตัวให้เนียนอย่างไร แต่จิตใต้สำนึกและความรู้สึกมันไม่ใช่ ที่เคยชี้นิ้วสั่งการ สั่งให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาซ้ายหันขวาหันได้ มันไม่ใช่วิถีของประชาธิปไตย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คณะเผด็จการจะคิดอย่างนั้น แต่ที่แปลกคืออย่าพยายามอ้างว่าตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย เพราะแท้ที่จริงเป็นเพียงแค่คนที่ต้องการสืบทอดอำนาจโดยแปลงโฉมตัวเองจากอดีตนายทหารใหญ่ให้มาเป็นนักการเมืองเท่านั้น แต่ความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ใช่แค่นี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น
อย่างหนึ่งคือการยอมรับจากประชาชน โดยเป็นการมอบความรักให้จากผลงานหรือการสร้างความดีจนเป็นที่นับหน้าถือตา ไม่ใช่บังคับให้คนรักคนชอบ ไม่ใช่คอยแต่จะตะคอกหรือแสดงความไม่พอใจในยามที่ประชาชนไม่สนใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการให้ฟังหรืออยากให้เห็นว่ามีผลงานอะไรบ้าง ของพรรค์นี้มันไม่มีใครบังคับใครได้
สิ่งสำคัญของนักการเมืองสายประชาธิปไตยคือ การเปิดใจกว้างพร้อมรับฟังทั้งเสียงทักท้วงติติง ประเภทที่ถูกว่านิดติหน่อยแล้วออกอาการอย่างนี้ยังถือว่าห่างไกลจากความเป็นประชาธิปไตยอีกโข ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่ วัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ จะออกมาวิจารณ์คำพูดและท่าทีของท่านผู้นำอย่างเผ็ดร้อน
โดยวัชระชี้ว่า ประชาชนได้ยินพลเอกประยุทธ์พูดโกหกเรื่องการเลือกตั้งมานับไม่ถ้วนแล้ว เมื่อพลเอกประยุทธ์ออกมาย้ำว่าจะมีการเลือกตั้งปีหน้าอีกคนก็ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ และเมื่อพลเอกประยุทธ์พูดแบบมีเงื่อนไขก็ยิ่งชัดเจนว่าจะไม่มีการเลือกตั้งในปีหน้าแน่นอน การที่ประกาศว่าจะเลือกตั้งไม่ได้ถ้ามีคนตีกันนั้น ยืนยันได้ว่า ไม่มีใครไปตีกันหรอก
การตั้งข้อกังขาของวัชระไม่แน่ใจว่าจะถูกเรียกไปปรับทัศนคติอะไรหรือเปล่า เพราะเจ้าตัวมองเรื่องของการตีกันตามข้ออ้างของท่านผู้นำว่า ไม่มีเว้นแต่มีการสร้างสถานการณ์ให้มีคนตีกัน มีการวางระเบิดเหมือนเดิมแล้วจับมือใครดมไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา คสช.มีอำนาจเต็ม มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หรือเจตนาที่แท้จริงคือไม่ให้มีการเลือกตั้งส.ส.ใช่หรือไม่
น่าชมเชยอีกเช่นกันที่วัชระกล้าจะตั้งคำถามต่อท่านผู้นำว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์มาสอนนักการเมืองให้มีความบริสุทธิ์ใจ ท่านควรไปกวาดบ้านตัวเอง สอนแม่น้ำ 5 สายให้มีความบริสุทธิ์ใจมากกว่า ขนาด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา ไม่มีนักการเมืองบริหารประเทศ คณะทหารคสช.บริหารประเทศล้วน ๆ แต่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่คอร์รัปชันมากที่สุดของประเทศ แม้แต่ทหารด้วยกันเองยังบอกว่าไม่มีทหารยุคไหนโกงเท่ายุคนี้อีกแล้ว
พลเอกประยุทธ์เป็นผู้เผด็จการจะมาสอนนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ใครพูดไม่ถูกใจท่านก็จะชกปาก เป็นนายกฯ เผด็จการหรือไม่ เพื่อความเป็นธรรมให้ท่านไปถามพี่น้องประชาชนดู ตรงนี้แหละที่จะเป็นบทพิสูจน์ความเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือ ต้องฟังเสียงประชาชนไม่ใช่บังคับให้ประชาชนต้องฟังเสียงผู้นำ
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาแบบลอย ๆ หากใครได้ติดตามการลงพื้นที่ก่อนและระหว่างการประชุมครม.สัญจรในทุกจังหวัด สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ท่านผู้นำไม่ได้ตั้งใจไปฟังความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนอย่างที่กล่าวอ้าง หากแต่มีวาระที่จะพูดเพื่อไปบอกกับประชาชนไว้อยู่แล้ว ตรงนี้พอจะเข้าใจได้กับวิถีของทหารที่ต้องใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาหรือปจว.เป็นเรื่องหลักเวลาไปพบปะผู้คน
ยิ่งเป็นพื้นที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของฝ่ายตรงข้าม เราก็จะได้ยินได้ฟังในเรื่องที่ซ้ำ ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการให้เลือกคนดีอย่าเลือกแบบเดิมแล้วได้แบบเดิม รวมไปถึงการโจมตีนโยบายประชานิยมแล้วชูแนวทางประชารัฐ โครงการไทยนิยมยั่งยืน นี่คือความไม่เนียน เป็นความไม่กลมกลืนของคนที่กำลังจะฝืนตัวเองไปเป็นนักการเมือง ด้วยมั่นใจในสิ่งที่ทำว่ามัดใจประชาชนได้ แต่ไม่เคยถามหรือยอมรับความเป็นจริงว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้ใจกับท่านผู้นำและคณะขนาดไหน
ไปดูกันทางด้านฝ่ายที่จะต้องจัดการเลือกตั้งอย่างกกต. วันนี้ พรเพชร วิชิตชลชัย บอกว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจะนำรายชื่อว่าที่ประธานและกรรมการกกต.ทั้ง 5 คนขึ้นทูลเกล้าฯ หรืออย่างช้าไม่เกินสัปดาห์หน้า และระหว่างนี้อยากให้ว่าที่กกต.ได้ประสานงานหรือศึกษาการทำงานกับกกต.ชุดเก่าเพื่อที่หลังโปรดเกล้าฯ จะได้เริ่มงานกันทันที
แต่ก็มีข้อครหาเรื่องกกต.ชุดเก่าที่มีการเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้ง 77 จังหวัดกันไปเรียบร้อย แน่นอนยืนยันจาก วิษณุ เครืองาม ทุกอย่างเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนจะเป็นการวางยากันหรือเปล่าไม่น่าจะใช่ เพราะใครที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใสก็ไปไม่รอด สุดท้ายกกต.ชุดใหม่ก็สามารถตรวจสอบและจัดการตามอำนาจที่มีได้ เป็นธรรมดาที่คนจะอดเป็นห่วงไม่ได้จากผลงานของกกต.ชุดไม่อยากจัดเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่จึงหวังว่าชุดใหม่เข้ามาจะกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง โปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย