พาราสาวะถี

อรชุน

ไม่มีอะไรซับซ้อน ฟังถ้อยแถลงของ “หม่อมเต่า” หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล หลังได้รับเลือกให้นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ยืนยันอนาคตจะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและไม่แน่ใจว่าหลังเลือกตั้งยังจะมีพรรคเพื่อไทยอยู่หรือไม่ ในเมื่อขบวนการล้มระบอบทักษิณที่วันนี้แยกตัวกันไปตามแนวทางที่ถนัด ก็เปิดหน้ากันชัดคนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าไผเป็นไผ

นี่ยังไม่นับรวมพรรคการเมืองบางพรรคที่ออกมาถล่ม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นระยะพร้อมชูหลักการอ้างระบบรัฐสภาและรักษาระบอบประชาธิปไตย แต่คนส่วนใหญ่บอกให้รอดูหลังหย่อนบัตร จะเกิดวาทกรรมการเมืองใดเพื่อใช้เป็นเหตุเข้าร่วมรัฐบาลผสม ที่จะชูนายกฯคนนอกอันหมายถึงหัวหน้าคณะเผด็จการปัจจุบันนั่นเอง

เป็นปกติธรรมดาของการเมือง ยิ่งเป็นเรื่องของฝักฝ่ายคนดีด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเล่นลิ้นกลืนน้ำลายตัวเองกี่เฮือกหรือโกหกกี่หนก็ตาม เสียงด่าทอต่อว่าจะแผ่วเบา บางครั้งก็เงียบหายไปในสายลมเอาเสียดื้อ ๆ นี่คือความจริงอีกประการ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นการตีความข้อกฎหมายต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้จนสีข้างถลอกปอกเปิกกันไปหมดแล้ว

ขณะเดียวกัน ระหว่างทางของการจัดทัพในองคาพยพเผด็จการเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งกับเพื่อไทย ก็มีการโยนหินถามทาง สร้างกำลังใจกันเป็นระยะ เหมือนอย่าง ไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ออกมาคุยฟุ้งว่า พรรคพลังประชารัฐจะได้เก้าอี้ส.ส.ในจำนวนที่สูสีกับพรรคนายใหญ่ ไม่รู้ว่ามีข้อมูลอินไซด์หรือได้เห็นพลังดูดอันทรงพลานุภาพแล้วจึงเกิดความมั่นอกมั่นใจขึ้นในทันที

ความจริงในฐานะที่นั่งเป็นกุนซือของบิ๊กป้อม ไพศาลน่าจะได้รับทราบผลการเก็บข้อมูลของหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกอ.รมน.ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้พรรคใดจะชนะการเลือกตั้งและน่าจะรู้ดีด้วยว่าคะแนนเสียงที่ได้นั้นจะออกมาในรูปแบบใด คำถามง่าย ๆ แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจในมิติทางการเมืองเลยก็ตามคือ หากฝ่ายคุมอำนาจมั่นใจว่าจะกำชัยชนะได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทำไมจึงไม่เลือกตั้งในเร็ววัน

ท่วงทำนองของท่านผู้นำที่วันนี้เที่ยวบ่นไปทั่วกับเรื่องผลงานและการยอมรับจากประชาชน รวมทั้งต้องกระทุ้งและอ้างความสำเร็จในโครงการประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน ที่ใครได้เห็นได้ยินได้ฟังแล้วต้องบอกว่ามันสะท้อนถึงอาการเหนื่อยล้า ไร้กำลังใจ เข้าลักษณะทำสารพัดวิธีแต่คะแนนนิยมจากประชาชนก็ยังไม่กระเตื้อง มิหนำซ้ำ อาจเรียกได้ว่านับวันมีแต่จะถดถอย

จึงไม่แปลกที่หลังจากได้เห็นอาการฟุ้งของไพศาลแล้ว ไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณจึงได้โพสต์ข้อความกระตุกคนที่มั่นอกมั่นใจให้ตื่นจากความฝันโดยเร็ว ในมุมของไทกรก็คือ สิ่งที่ไพศาลบอกมันขัดกับความรับรู้ของตัวเองที่ลงสัมผัสกับประชาชนพร้อมกับการยกหูโทร.สอบถามใครต่อใครที่รู้จักตามภูมิภาคต่าง ๆ สิ่งที่สัมผัสได้คือตอนนี้กระแส “ไม่เอาทหาร” มันลามจากชาวบ้านไปสู่ชนชั้นกลางแล้ว

ที่เป็นการตบหน้ากุนซือของรัฐมนตรีรัฐบาลเผด็จการก็คือ เมื่อสอบถามชาวบ้านที่ได้รับบัตรคนจนทุกคนที่ได้รับบอกว่าดี ดีทั้งนั้น พอถามต่อไปว่าแล้วเลือกตั้งจะเลือกพวกประยุทธ์ไหม ชาวบ้านยิ้มก่อนตอบว่า เลือกคือเก่า นั่นยิ่งทำให้ไทกรต้องถามต่อว่า “เลือกคือเก่า เลือกใคร?” ชาวบ้านหลายคนยิ้มก่อนพูดเสียงแผ่วเบาเหมือนกลัวใครได้ยินว่าเพื่อไทย

แน่นอนว่า ข้อมูลจากการสอบถามของไทกรอาจดูว่ามันน้อยเกินไปในแง่ของจำนวนคน เจ้าตัวจึงย้ำเหมือนสิ่งที่อรชุนได้บอกไปว่า จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กอ.รมน.ที่ทำงานการข่าวที่สนิทกันว่า ใครจะชนะเลือกตั้งคำตอบคือพวกเก่าชนะ โดยเจ้าหน้าที่ถึงกับใช้คำว่า “เพื่อไทยเอาหมาลงชาวบ้านก็เลือก” แต่ก็นั่นแหละเหมือนอย่างที่บอกไปตั้งนานแล้วว่า พอถึงเวลารายงานเจ้านายเจ้าหน้าที่เหล่านั้นย่อมต้องรายงานแบบให้ถูกใจผู้ใหญ่จะได้ไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนอย่างท่านผู้นำที่รู้ไส้รู้พุงของบรรดาข้าราชการทุกพวกทุกฝ่าย คงเข้าใจดีว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่ เว้นเสียแต่ว่า จะทำตัวเป็นข้าราชการระดับสูงที่เชื่อมั่นเชื่อใจในทุกการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชานั่นก็อีกเรื่อง ซึ่งถ้าพิจารณาดูจากสิ่งที่หัวหน้าคณะเผด็จการแสดงออก ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในลักษณะนั้น

เพียงแต่ว่ารู้ทั้งรู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นรองเวลาเข้าสู่สนามเลือกตั้ง แต่ด้วยองคาพยพที่มีอยู่ในมือ น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านผู้นำเชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียตัวเองก็จะได้กลับมาสืบทอดอำนาจอย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงนกเสียงกา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ด้วยการอ้างเรื่องของการมาตามกระบวนการของกฎหมาย และยิ่งมีกฎหมายพิเศษถือมาตรายาวิเศษอยู่ในมือจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จึงไม่มีอะไรต้องหนักใจว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรตามมาหลังการเลือกตั้งหรือไม่

ประการสำคัญที่ต้องไม่ลืมกันก็คือ บรรดาการกระทำใด ๆ ของคณะเผด็จการคสช.ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบันและอนาคตได้รับการยกเว้นโทษหรือนิรโทษกรรมไว้เรียบร้อยแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จึงไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ต้องไม่ลืมคุณลักษณะพิเศษของผู้เป็นเผด็จการไม่ว่าที่ใดในโลกนี้นั่นก็คือ หน้าต้องทนไม่สนว่าจะต้องเผชิญกับแรงเสียดทานใด ๆ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ให้คนจำนวนไม่น้อยยังไม่เชื่อมั่นว่าจะได้เลือกตั้งตามโรดแมปในต้นปีหน้าจริงหรือ

กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไรและจะยังรักษาอำนาจของตัวเองไว้ได้หรือไม่ สิ่งสำคัญแม้แต่เผด็จการเองก็อยากได้คงหนีไม่พ้น การยึดกุมหัวใจของประชาชน ภาพที่สะท้อนอยู่เวลานี้น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะมีการใช้เงินหว่านลงไปเท่าไหร่ ให้บัตรคนจนรายละ 300-500 บาทต่อเดือนหรือไปเพิ่มเงินในกองทุนหมู่บ้าน อัดเงินผ่านตำบลจำนวนมหาศาลมากกว่าที่ประชานิยมเคยให้ แต่กลับไม่ได้ใจประชาชน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น