BIG รูดเกือบ 8% นิวโลว์รอบ 2 ปี หลังงบฯ Q2/61 กำไรหด 27% 

BIG รูดเกือบ 8% นิวโลว์รอบ 2 ปี หลังงบฯ Q2/61 กำไรหด 27% เหลือ 114.26 ลบ. จากปีก่อน 155.64 ลบ. ส่วน 6 เดือนแรกกำไร 324.23 ลบ. ลดลง 18% จากปีก่อน 394.48 ลบ. ด้าน โบรกฯ แนะ "ถือ" โดยล่าสุด ณ เวลา 15.55 น. อยู่ที่ 1.92 บาท ลบ 0.16 บาท หรือ 7.69% สูงสุดที่ 1.97 บาท ต่ำสุดที่ 1.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 30.76 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ล่าสุด ณ เวลา 15.55 น. อยู่ที่ 1.92 บาท ลบ 0.16 บาท หรือ 7.69% สูงสุดที่ 1.97 บาท ต่ำสุดที่ 1.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 30.76 ล้านบาท

โดย ราคาหุ้น BIG ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.92 บาท เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2559 หลังรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.61 มีกำไรลดลง ดังนี้

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรลดลง เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มขึ้น

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” BIG ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 114 ล้านบาท ลดลง 46% เทียบจากไตรมาสก่อน และ 26% เทียบจากปีก่อน ถือเป็นกำไรที่ลดลงทั้งไตรมาสก่อน และเทียบจากปีก่อนเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และต่ำกว่าคาดการณ์ของเราที่ 122 ล้านบาท

โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของตลาดกล้องซึ่งทำให้การแข่งขันสูงขึ้นโดยปริยาย ส่งผลให้แม้รายได้รวมจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% เทียบจากปีก่อนอยู่ที่ 1,462 ล้านบาท แต่ต้องแลกมาด้วยการส่งเสริมการตลาดทั้งด้านราคาและการประชาสัมพันธ์ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 26.3% จาก 30.5% ในไตรมาส 1/61 และ 30.1% ในไตรมาส 2/60

รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเร่งตัวขึ้นเป็น 16.6% ของรายได้รวม จาก 14.7% ในไตรมาส 1/61 และ 15.7% ในไตรมาส 2/60 นอกจากนี้ ผลของการที่ผู้ผลิตกล้องเน้นขายสินค้าตัวบน ซึ่งไม่จำเป็นต้องกระตุ้นตลาดมากเท่าตัวล่าง ยังทำให้ยอดรีเบทไม่ปรับตัวขึ้นตามรายได้ที่โตด้วย โดยทรงตัวจากปีก่อนที่ระดับ 162 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงสะท้อนการชะลอตัวของผลประกอบการแล้วพอควร ซึ่ง ณ ปัจจุบันซื้อขายบน PE2018-19 เพียง 10-11 เท่า และให้ปันผลสูงราว 6% ต่อปี แต่เนื่องจากเหตุผลของการชะลอตัวมาจากภาพอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โดยยอดนำเข้ากล้องครึ่งปีแรกที่ใช้วัดมูลค่าอุตสาหกรรม ปรับตัวลง 4% จากปีก่อน และด้วยเงื่อนไขกำลังซื้อที่ไม่ได้ฟื้นตัวในอัตราเร่ง เรามองว่าเป็นเรื่องยากที่ BIG จะฝืนแนวโน้มอุตสาหกรรม หรือถ้าฝืนก็จะเกิดภาพคล้ายไตรมาส 2/61 ที่รายได้โตแต่อัตรากำไรขั้นต้นทรุดตัว

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเงินทุนหมุนเวียนที่ทำให้กลับมากังวลอีกครั้ง จากการหมุนของสินค้าคงเหลือที่ช้าลง และค่าใช้จ่ายในการตั้งด้อยค่าสินค้าล้าสมัยที่เร่งตัวขึ้น จนต้องมีการกู้ยืมเงินระยะสั้นราว 569 ล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีที่ 700 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน

ดังนั้นจึงยังดูมี Dowside ซึ่งเรามองว่าทางเดียวที่จะโตสวนอุตสาหกรรมได้จะต้องสยายปีกไปต่างประเทศ หากสามารถเปิดสาขาในตลาดใหม่ๆที่ใช้การท่องเที่ยวนำเศรษฐกิจเหมือนไทย เช่น เวียดนาม ก็น่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพากำลังซื้อใตลาดเดียวได้ กล่าวโดยสรุป จึงคงคำแนะนำถือเพื่อติดตามการปรับกลยุทธ์และฟื้นตัวในระยะถัดไป แม้ว่า Upside ในเชิงปัจจัยพื้นฐานจะเปิดกว้างให้ซื้อแล้วก็ตาม

Back to top button