ดักเก็บ PTTGC โบรกฯฟันธงกำไรปีนี้ “ออลไทม์ไฮ” 4.4 หมื่นลบ. เชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้า 107 บ.
ดักเก็บ PTTGC โบรกฯฟันธงกำไรปีนี้ "ออลไทม์ไฮ" 4.4 หมื่นลบ. เชียร์ "ซื้อ" เคาะเป้า 107 บ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC หลังมีนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากมองกำไรปีนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/61 อาจจะชะลอตัวลงบ้างจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน ซึ่งกระทบต่อปริมาณการขาย แต่มาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับได้รับประโยชน์เต็มปีจากโครงการ Asset Injection ซึ่งเป็นการซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพจากกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รวมถึงค่าการกลั่นยังมีแนวโน้มดีในครึ่งปีหลังจะช่วยหนุนกำไรปีนี้ให้ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่การเข้าซื้อธุรกิจ PTA และ PET จากกลุ่ม บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จะช่วยต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) และโมโนเอทีลีนไกลคอล (MEG) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการวัตถุดิบต้นทาง และบริหารผลกำไรตลอดสายธุรกิจได้อย่างเหมาะสม จากปัจจุบันที่ PTTGC ไม่มีผลิตภัณฑ์ PTA และ PET อยู่ในมือ ซึ่งการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกแม้ว่าอาจจะมองไม่เห็นผลชัดเจนในระยะเวลาอันใกล้
อีกทั้งราคาหุ้น PTTGC ที่ปัจจุบันมี Valuation ที่ถูกและมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่มากกว่า 5% ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุน โดยราคาหุ้น PTTGC ปิดตลาดวานนี้ (14 ส.ค.61) ที่ระดับ อยู่ที่ระดับ 82 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ระดับ 82.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 80.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.77 พันล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTTGC ในราคาเป้าหมาย 100 บาท/หุ้น โดยมองว่า PTTGC มีความน่าสนใจจาก Valuation ที่ไม่แพง และจ่ายปันผลระดับสูง ประกอบกับมีกำไรที่ดี โดยผลประกอบการในไตรมาส 2/61 ได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่สามารถเดินเครื่องผลิตได้ดี และยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามาช่วยผลักดันให้ผลกำไรยังดี แม้จะมีการตั้งสำรองผลกระทบกรณีวัตถุดิบของ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC หายก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในไตรมาส 3/61 ผลประกอบการของ PTTGC อาจจะชะลอตัวลงจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์ ทำให้การใช้กำลังการผลิตอาจจะอ่อนตัวลงแต่ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้ PTTGC มีโอกาสที่จะทำกำไรแตะระดับ 4.4 หมื่นล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ โดยส่วนหนึ่งยังได้รับประโยชน์จากโครงการ Asset Injection ที่จะรับรู้ได้เต็มปี และสเปรดผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นด้วย
“Q3 ที่เราประเมินไว้กำไรอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่น่าจะเห็นในหลัก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่ค่อนข้างดี ภาพของ PTTGC เป็นลักษณะของการยกฐานกำไรจากที่เคยทำได้ระดับ 6-7 พันล้านบาทต่อไตรมาส เดี๋ยวนี้ก็ขึ้นมาอยู่ระดับหมื่นล้านบาท” นายสุทธิชัย กล่าว
นอกจากนี้การเข้าซื้อธุรกิจ PTA และ PET จะเป็นสิ่งที่ช่วยต่อยอดธุรกิจของ PTTGC ที่ปัจจุบันมีวัตถุดิบ คือ PX และ MEG รองรับการผลิต PTA และ PET อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ PTTGC สามารถผลิตได้ครบวงจรทั้งหมด ประกอบกับธุรกิจที่เข้าซื้อมีโรงงานอยู่ในไทยที่จะทำให้ PTTGC สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดที่คุ้นเคยทั้งในไทย และอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพของการเติบโต อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวอาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจนในเร็ววันนี้ แต่ก็นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะรองรับการเติบโตในอนาคต
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ขณะนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTTGC ในราคาเป้าหมาย 107 บาท/หุ้น โดยมองว่าผลประกอบการของ PTTGC ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ คิดเป็น 53% ของประมาณการกำไรทั้งปีนี้ ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 61 ที่ระดับ 4.4 หมื่นล้านบาท จากค่าการกลั่นและสเปรดโอเลฟินส์ยังมีแนวโน้มดีในครึ่งหลังของปีนี้ และจะเข้าสู่ Hurricane season ในช่วงไตรมาส 3/61 ทำให้ประมาณค่าการกลั่นของปีนี้ที่ระดับ 6.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันค่าการกลั่นอยู่ที่ 6.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ยังต้องจับตาในส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ด้วย โดยปัจจุบัน PTTGC อยู่ระหว่างการจะเข้าซื้อกิจการ PET และ PTA จากเอสซีจี
อนึ่ง PTTGC จะเข้าซื้อหุ้น 74% ในบริษัท Siam Mitsui PTA Company Limited (SMPC) ผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์กรดบริสุทธิ์เทเรพาธิค (PTA) และ Thai PET Resin Company Limited (TPRC) ผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเรฟทาเลต (PET) โดยเป็นการซื้อจากเอสซีจี ด้วยเงินลงทุนประมาณ 125 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/61