PACE กำไร Q2 วูบ 94% หลังบันทึกด้อยค่าส่วนต่างเงินลงทุน”PP1-PP3″ 3 พันลบ.
PACE กำไร Q2 วูบ 94% เหลือ 217 ลบ. หลังบันทึกด้อยค่าส่วนต่างเงินลงทุน "PP1-PP3" 3 พันลบ.
บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.61 ดังนี้
โดยผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าว บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิจำนวน 217 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้รวม และลดลงร้อยละ 94 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ที่มีผลกำไรสุทธิจำนวน 3,915 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากในช่วงเวลาเดียวกันของปี2560 บริษัทฯ ได้รับรู้ผลกระทบจากการเสียอำนาจควบคุมในบริษัทย่อยจำนวน 7,113 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทฯได้ทำบันทึกรายการผลขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์จำนวน 3,115 ล้านบาทในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องจากในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 บริษัทฯได้มีผู้ร่วมทุน 2 ราย ได้แก่ อพอลโล เอเชีย สปรินท์ โฮลดิ้ง คอมปานี ลิมิเต็ด และ โกลด์แมน แซคส์อินเวสท์เม้นท์ส โฮลดิง้ส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด ในสัดส่วนการถือครองสิทธิ์ร้อยละ 49 ในโรงแรมบางกอก เอดิชั่น จุดชมวิว ออบเซอร์เวชั่นเด็คและ อาคารรีเทล คิวบ์เป็นผลให้บริษัทฯสูญเสียอำนาจควบคุมในบริษัทฯย่อย จากการร่วมทุนดังกล่าว
โดย บริษัทฯแต่งตั้งที่ปรึกษาการเงินอิสระเพื่อประเมินมูลค่าเงินลงทุนซึ่งได้ผลการประเมินที่จำนวน 6,487 ล้านบาทและบันทึกในงบดุลสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 และบันทึกผลกระทบจากการสูญเสียอำนาจควบคุมจำนวน 7,113 ล้านบาท ในงบกำไรขาดทุนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ตามลำดับ
ต่อมาในเดือน เมษายน 2561 บริษัทฯ ร่วมกับ PP1 และ PP3 ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (เดิมเป็นกิจการร่วมค้า) ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินกับบริษัท คิง พาวเวอร์ มหานคร จำกัด เพื่อจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัททั้งสองแห่ง ซึ่งสินทรัพย์หลักประกอบด้วยโรงแรมบางกอก เอดิชั่น จุดชมวิว ออบเซอร์เวชั่นเด็ค และอาคารรีเทล คิวบ์ ให้แก่ KPM และค่าดำเนินการเพื่อให้รายการจำหน่ายสินทรัพย์แล้วเสร็จด้วยจำนวนมูลค่ารวมไม่เกิน 14,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทฯร่วมกับบริษัททั้งสองแห่งดังกล่าว ได้เข้าทำสัญญา Investment Buy-Out Agreement เพื่อเข้าซื้อหุ้นของบริษัททั้งสองแห่งจากผู้ร่วมทุนเดิม (อพอลโล เอเชีย สปรินท์ โฮลดิ้ง คอมปานี ลิมิเต็ด และ โกลด์แมน แซคส์ อินเวสท์เม้นท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด) จำนวนเงินไม่เกิน 320 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับเหตุผลที่ราคาขายสินทรัพย์และค่าดำเนินการเพื่อให้รายการจำหน่ายสินทรัพย์แล้วเสร็จจำนวน 14,000 ล้านบาท มีมูลค่าต่ำกว่าราคาประเมินจากผู้ประเมินอิสระ 17,182 ล้านบาท (มูลค่ากิจการของ PP1 จำนวน 5,058 ล้านบาท ตามรายงานประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินแห่งที่ 1 และมูลค่ากิจการของ PP3 จำนวน 12,124 ล้านบาท ตามรายงานประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินแห่งที่ 2) จนทำให้เกิดการบันทึกการด้อยค่าของเงินลงทุน เนื่องจากราคาประเมินผู้ประเมินอิสระนั้น ตั้งอยู่ในสมมุติฐานที่ว่าสินทรัพย์ทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ
โดยบริษัทยังต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อาจสูงขึ้นจำนวนไม่เกิน 875 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้ทำให้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ทำให้บริษัทไม่สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อมาก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จได้ รวมถึงบริษัทฯ มีภาระต้องคืนหุ้นกู้ซึ่งใกล้ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีรวมถึงตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนดจำนวนมากกว่า 3,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะขายสินทรัพย์ดังกล่าว เพื่อนำเงินสดมาชำระคืนภาระหนี้
ทั้งนี้ จากการเข้าทำรายการตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้ผลกระทบส่วนต่างเงินลงทุนระหว่างราคามูลค่ายุติธรรมจากที่ปรึกษาการเงินอิสระและรายการที่เกิดขึ้นจริง และได้บันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าบริษัททั้งสองแห่ง เป็นจำนวนเงิน (285) ล้านบาท และจำนวน 3,115 ล้านบาท ไว้ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561
อนึ่งในไตรมาส 2/2560 บริษัทฯได้รับจดหมายจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องขอให้ชี้แจงความสมเหตุสมผลและเปิดเผยสมมุติฐานเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 บริษัทฯ จึงว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินอิสระแห่งที่สอง เพื่อทำการประเมินมูลค่ายุติธรรมของบริษัทย่อยทั้ง 2 บริษัทอีกครั้ง
โดยใช้วิธีการประเมินจากรายได้ (Income Approach) และวิธีการตีราคาสิทธิในการซื้อหุ้น (BlackScholesOption Pricing Model) จากการใช้วิธีการวัดมูลค่าที่เหมาะสมจากที่ปรึกษาทางการเงินทั้ง 2 แห่ง บริษัทฯได้รับรู้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด ซึ่งมีผลกระทบต่องบการเงินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560และบันทึกในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมทั้งสิ้น 7,113 ล้านบาท ดังที่กล่าวมาทำให้บริษัทฯ บันทึกผลกำไรสุทธิจำนวน 3,915.3 ล้านบาท