TASCO บวก3% สวนข่าวปรับลดเป้ายอดขายยางมะตอย หลังความต้องการใช้หด

TASCO บวก3% สวนข่าวปรับลดเป้ายอดขายยางมะตอย หลังความต้องการใช้หด โดยล่าสุด ณ เวลา 15.49 น. อยู่ที่ระดับ 14.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 2.88% สูงสุดที่ระดับ 14.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 87.60 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ณ เวลา 15.49 น. อยู่ที่ระดับ 14.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 2.88% สูงสุดที่ระดับ 14.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 87.60 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น TASCO ยังคงปรับตัวขึ้นแม้มีการรายงานข่าวว่าบริษัทปรับเป้าหมายยอดขายยางมะตอยในปี 2561 ลงเหลือโต 1.4 ล้านตัน จากเดิม 1.9 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศและต่างประเทศยังทรงตัว

ด้านนายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ TASCO เปิดเผยว่า บริษัทฯ ปรับเป้ายอดขายยางมะตอยปีนี้เหลือโตไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านตัน จากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 1.9 ล้านตันใกล้เคียงกับปีก่อน โดยในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายยางมะตอยได้แล้วที่ 6.6 แสนตัน แต่เนื่องจากบริษัทรับมอบน้ำมันดิบได้น้อยลงทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้กำลังการผลิต ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกรับมอบเพียง 3 ลำเรือ จากปกติจะต้องรับมอบ 1 ลำเรือ/เดือน

ประกอบกับความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว ส่วนต่างประเทศ ยอดการใช้ยางมะตอยปรับตัวลดลงไปบางประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่ายอดขายยางมะตอยในประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/61 เนื่องจากเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ เพราะภาครัฐจะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณของปี 62 ในเดือน ต.ค. โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศ ยอดขายก็น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น

ขณะที่การรับมอบน้ำมันดิบเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งปัจจุบันมีการรับมอบน้ำมันดิบในปีนี้เพิ่มเป็น 4 ลำเรือแล้ว และในครึ่งปีหลังนี้ก็จะรับมอบน้ำมันดิบเข้ามาเพิ่มเติมอีก 5 ลำเรือ ทำให้ทั้งปีจะมีการรับมอบน้ำมันดิบทั้งสิ้น 9 ลำเรือ ส่งผลดีต่อการกลับมาผลิตของโรงกลั่นยางมะตอยทำได้เต็มที่

ทั้งนี้ รวมถึงราคายางมะตอยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันราคายางมะตอยในตลาดภูมิภาคอยู่ที่ 400 เหรียญ/ตัน และราคายางมะตอยในประเทศจีนอยู่ที่ 380 เหรียญ/ตัน คาดว่าสิ้นปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 380-420 เหรียญ/ตัน

สำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้ถังเก็บน้ำมันดิบของ KBC ในเมืองเคมามาน รัฐตรังกานู ประเทศมาเลเซีย จำนวน 3 ถัง โดยมีปริมาณความจุ 1.01 แสนตัน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเก็บวัตถุดิบน้ำมันดิบลดลงมาที่ 6.35 แสนตัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของทางการมาเลเซียเพื่อประเมินความเสียหาย แต่เบื้องต้นคาดมูลค่าความเสียหายจะอยู่ที่ 9.5 ล้านเหรียญฯ คาดว่าจะสามารถสรุปความเสียหายทั้งหมดได้ในเดือน ก.ย.นี้

พร้อมกันนี้ บริษัทจะมีการบันทึกความเสียหายดังกล่าวเข้ามาในไตรมาส 3/61 ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทให้พลิกกลับเป็นขาดทุนอย่างแน่นอน โดยการทำประกันจะครอบคลุมถึงผลกระทบต่อธุรกิจต่อการเกิดอุบัติเหตุนั้นๆ เป็นระยะเวลา 24 เดือน ซึ่งบริษัทน่าจะทยอยได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป

“เราอยู่ระหว่างติดต่อผู้รับเหมาเพื่อสร้างถังเก็บน้ำมันดิบทดแทนถังเก่าที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งรูปแบบการก่อสร้างจะต้องเป็นไปตามระเบียบใหม่ คาดว่าจะสรุปผู้รับเหมาได้ในเดือน ต.ค.นี้ โดยถังเก็บน้ำมัน 3 ถัง จะใช้เวลาก่อสร้าง 12-15 เดือน ส่วนฝาถังจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน” นายชัยวัฒน์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าแผนการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตโรงกลั่นในประเทศมาเลเซีย จากเดิม 3 หมื่นบาร์เรล/วัน เป็น 6 หมื่นบาร์เรล/วัน คาดว่าจะสรุปได้ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งหากสามารถสรุปการลงทุนดังกล่าวได้ คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี ถึง 3 ปีครึ่ง และน่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 65 เป็นต้นไป

Back to top button