TASCO พุ่ง 6% หลังราคาหุ้นเป็นขาลง ลุ้นผลงาน Q4/61 ฟื้นตัว

TASCO พุ่ง 6% หลังราคาหุ้นเป็นขาลง ลุ้นผลงาน Q4/61 ฟื้นตัว โดยปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ 15.70 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 6.08% สูงสุดที่ 15.70 บาท ต่ำสุดที่ 14.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 336.85 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO โดยปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ 15.70 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 6.08% สูงสุดที่ 15.70 บาท ต่ำสุดที่ 14.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 336.85 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 16.50 บาท เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.61 โดยคาดว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นหลังจากราคาปรับตัวลงมาจากก่อนหน้านี้

ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) แนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น โดย สถานการณ์กำไรของ TASCO กลับเข้าสู่ขาลง นอกเหนือจากปัจจัยลบในภาพใหญ่คือราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นแล้ว บริษัทก็ยังเผชิญปัญหาการจัดส่งน้ำมันดิบเข้าโรงกลั่นได้ล่าช้าจากปัญหาการเมืองและการถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ของประเทศเวเนซูเอล่า ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่เหมาะสมกับการผลิตยางมะตอยของ TASCO หลังจากนั้นบริษัทก็เผชิญปัญหาไฟไหม้ถังเก็บน้ำมันภายในโรงกลั่นที่มาเลเซีย เชื่อว่ากว่าสถานการณ์จะกลับมาดีต้องรอประมาณไตรมาส 4/61 เราจึงแนะนำขาย TASCO ต่อไป กำหนดราคาเป้าหมายที่ 13 บาท อิงกับค่า PER ของกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เป็น Commodity ที่ 14 เท่า

ขณะที่ กำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ต่ำกว่าคาดอย่างมาก โดย TASCO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 121 ล้านบาท ลดลง 65% จากปีก่อน และ 60% จากไตรมาสก่อน จากยอดขายในต่างประเทศที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการผลิตในไตรมาส 2/61 ลดลง เนื่องจากการจัดส่งน้ำมันดิบที่ล่าช้าและมีโรงกลั่นที่ต้องปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาขายที่ปรับสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2/61 ในขณะที่บริษัทมีต้นทุนขายที่ลดลงจากต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงจากไตรมาส 1/61 ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิมที่ 6.6% ในไตรมาส 2/60 เป็น 9% ในไตรมาส 2/61

โดย จากเหตุการณ์ไฟไหม้ถังเก็บน้ำมันดิบของบริษัทที่ประเทศมาเลเซียจำนวน 3 ถัง โดยมีจำนวน 2 ถังได้รับความเสียหาย 100% ในขณะที่อีก 1 ถังได้รับความเสียหายเฉพาะบริเวณหลังคา (Partially Damaged)เท่านั้น โดยความเสียหายด้านสินทรัพย์ และ Business disruption จะอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัยทั้งหมด

ทั้งนี้ ถังเก็บน้ำมันที่ได้รับความเสียหายคาดว่าใช้เวลาซ่อมแซมจนแล้วเสร็จประมาณ 12-15 เดือน ส่วนถังเก็บน้ำมันอีก 3 ถังซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ บริษัทได้ว่าจ้างบริษัทภายนอกมาตรวจสอบอีกครั้งก่อนการใช้งานจริง ซึ่งคาดว่าจะทราบผลภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ หากถังเก็บน้ำมันทั้ง 3 ถังตรวจสอบแล้วไม่พบว่าชำรุด คาดว่าจะการดำเนินงานจะกลับมาเป็นปกติในปลายไตรมาส 3/61

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/61 จะใกล้เคียงกับในไตรมาส 2/61 จากตลาดในประเทศใกล้เคียงเดิม ซึ่งเป็น Low Season ของธุรกิจยางมะตอย เนื่องจากในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะไม่ค่อยมีเงินลงทุนด้านการก่อสร้างจากทางภาครัฐมากเท่าช่วงไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง High Season และ ตลาดในต่างประเทศยังคงซบเซา ทั้งในตลาดอินโดนีเซียและจีน เนื่องจากในประเทศอินโดนีเซีย มีการแข่งขันสูงขึ้น ในขณะที่จีน บริษัทได้เจอกับสภาวะการทุ่มตลาด เนื่องมาจากมีบริษัทสัญชาติเกาหลี 2 รายได้ปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อใช้ในการผลิตน้ำมันในช่วงไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมา ฃ

โดยการปรับปรุงดังกล่าวทำให้บริษัทเหล่านั้นมีปริมาณยางมะตอยที่เป็นผลพลอยได้จากการกลั่นที่ลดลง (ทำให้ราคายางมะตอยเพิ่มสูงขึ้น) แต่ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทดังกล่าวได้เกิดปัญหา Design Problem กับตัวโรงกลั่นใหม่ ทำให้บริษัทดังกล่าวจำเป็นต้องกลับไปใช้โรงกลั่นแบบเดิม ทำให้ปริมาณยางมะตอยเพิ่มสูงขึ้น และเกิดการขายทุ่มตลาดเกิดขึ้น ทำให้ราคาขายยางมะตอยลดต่ำลงอย่างรวดเร็วในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

ขณะที่ คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/61 จะกลับมาฟื้นตัวขึ้น จากที่ไตรมาส 4/61 เป็นช่วง High Season ของการก่อสร้างจากภาครัฐที่พยายามผลักดันโครงการก่อสร้างต่างๆในออกมาภายในรัฐบาลชุดนี้ บวกกับราคาขายยางมะตอยในต่างประเทศที่คาดว่าจะกลับไปสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทเกาหลีสามารถแก้ปัญหาโรงกลั่นได้ ทำให้ปริมาณยางมะตอยในตลาดลดลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทยังคงเป้านำน้ำมันดิบเข้าโรงกลั่นที่ 9 ลำเรือ หลัก ๆ มาจากแหล่งผลิตในเวเนซูเอล่า ซึ่งมีความเหมาะสมนำมาใช้ในการผลิตยางมะตอย และTASCO สามารถซื้อน้ำมันดิบประเภทนี้ได้ในราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบจากแหล่งอื่น ๆ ในไตรมาสที่ผ่านมามีการขนส่งไปแล้ว 3 ลำเรือ และเพิ่งถึงที่โรงกลั่นอีก 1 ลำเรือ ในขณะที่อีก 3 ลำเรืออยู่ในระหว่างเดินทางไปยังโรงกลั่น

นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะสามารถกลับมาผลิตยางมะตอยได้ต่อเนื่องอีกครั้งประมาณปลายไตรมาส 3/61 หลังจากที่บริษัทประสบปัญหาต่าง ๆ จนไม่สามารถรับน้ำมันดิบมากลั่นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 1.4 ล้านตันในปี 2561 ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 1.9 ล้านตัน โดย 6 เดือน 2561 บริษัทมีปริมาณขายแล้ว 0.67 ล้านตัน

โดย แนะนำขาย ให้ราคาเป้าหมายคงเดิมที่ 13 บาท: หลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/61 ประกาศไป เปลี่ยนคำแนะนำจากซื้อ เป็นขาย และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง รวมถึงลดราคาเป้าหมายลง เพื่อสะท้อนกับทิศทางขาลง และอุปสรรคต่าง ๆ ของบริษัท โดยเรามองว่า เมื่อราคาน้ำมันเบรนท์ที่สูงเกินระดับ 60 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป จะเป็นลบเชิงลบต่อต้นทุนการดำเนินงานของ TASCO เนื่องจากแหล่งน้ำมันดิบที่บริษัทซื้อคิดเป็นราคา Discount กับราคาน้ำมันดิบเบรนท์

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/61 ยิ่งสร้างความผิดหวังมากขึ้นกว่าที่คาด แต่คงราคาเป้าหมายที่ 13 บาท อิงค่า PER ของกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เป็น Commodity ที่ 14 เท่า โดยความคาดหวังทั้งหมดอยู่ในช่วงไตรมาส 4/61 ว่ากำไรจะพลิกฟื้นกลับมาได้ดีในระดับประมาณ 700 ล้านบาท ขึ้นไป ในขณะที่บริษัทคาดว่าจะยังต้องเผชิญกับกำไรต่ำในไตรมาส 3/61

Back to top button