พาราสาวะถี
ไม่รู้ว่าเพราะได้กลิ่นอายความเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ จึงออกอาการดุดันขนาดนั้นสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันวานไปนั่งเป็นประธานการรับฟังการแถลงผลการศึกษาสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหรือวปอ. รุ่นที่ 60 มีการพาดพิงถึงนักการเมืองจากค่ายเพื่อไทยไล่ตั้งแต่นายใหญ่ไปจนถึงทีมเศรษฐกิจที่วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการคสช.อยู่เป็นประจำ
อรชุน
ไม่รู้ว่าเพราะได้กลิ่นอายความเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ จึงออกอาการดุดันขนาดนั้นสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันวานไปนั่งเป็นประธานการรับฟังการแถลงผลการศึกษาสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหรือวปอ. รุ่นที่ 60 มีการพาดพิงถึงนักการเมืองจากค่ายเพื่อไทยไล่ตั้งแต่นายใหญ่ไปจนถึงทีมเศรษฐกิจที่วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการคสช.อยู่เป็นประจำ
แต่แค่ประโยคที่ว่า “ผมไม่อยากมีอำนาจที่แล้วมามีอำนาจจนเบื่อ จนไม่อยากใช้” แค่นี้ก็น่าจะอธิบายได้แล้วว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะบอกได้เลยใช่ไหมว่า การประกาศจุดยืนทางการเมืองของหัวหน้าเผด็จการที่บอกว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนนี้ จะไม่สืบทอดอำนาจ ไม่กระโดดเข้าสู่สนามการเมืองไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
เป็นที่น่าสังเกตว่าในการพูดครั้งนี้ท่านผู้นำส่งเสียงดัง ดุดัน โดยบางช่วงได้ออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกรณีเรื่องของเรือดำน้ำ ที่หัวหน้าเผด็จการจะแสดงความโกรธเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ ทักษิณ ชินวัตร เคยโจมตีในเรื่องดังกล่าว บิ๊กตู่จึงซัดกลับว่าตรรกะเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจว่าเมื่อพาดพิงไปแล้วก็จะโดนสวนกลับมา แต่ไม่กลัวเพราะยิ่งตีก็ยิ่งโตยิ่งแรงมากกว่ายิ่งมีกำลังใจทำงาน ซาดิสต์ได้ใจแต่จะได้เรื่องหรือเปล่าต้องคอยดู
ที่ดุเดือดที่สุดคงเป็นกรณีที่บอกว่า “มันจะบ้าหรืออย่างไร ไอ้นี่ความจำเสื่อมพูดผิดไปหมด เพราะก่อน 57 จีดีพีโตแค่ 0.9 ไอ้คนไม่มีผมรู้ใช่หรือไม่ว่าคือใคร ไม่มีผมแต่ชอบพูดฝากรองนายกฯ ด้วย เผื่อจะเรียกมาคุยอีก แต่ก็คงเบื่อแล้วเรียกมาก็กลับไปพูดอีก ที่ผ่านมาก็เรียก 15 ครั้งแล้วเรียกจนเบื่อกลับไปก็ไปพูดอีก” ไม่บอกก็รู้ว่าคือ พิชัย นริพทะพันธุ์ นั่นเอง
การออกอาการฟาดงวงฟาดงาเช่นนี้ มองได้ไม่ยาก สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและเป็นการโชว์พลังให้นักศึกษาวปอ.รุ่นนี้เห็นว่าผู้นำเผด็จการนั้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดไหน ใครอย่ามาหือหรือตอแย แต่ในมิติทางการเมืองการแสดงท่าทีลักษณะนี้ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างได้เช่นกัน นี่แหละ คุณลักษณะของนักการเมืองทุกกระเบียดนิ้ว
คำตอบจากซีกของกกต.คาดเดาไม่ยากหากมีคนไปถามเรื่องกลุ่มสามมิตรลงพื้นที่บ้านนาคานหัก จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมขึ้นรถแห่ มีปราศรัยเปิดตัวผู้สมัครกับประชาชนในพื้นที่ 5 หมู่บ้าน จะมีความผิดอย่างไรหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีการจัดการเลือกตั้งสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนืออำนาจของกกต.ที่จะไปตรวจสอบและเอาผิด นอกจากนี้กลุ่มดังกล่าวยังไม่ใช่พรรคการเมืองด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่แปลกที่มีคนไปถาม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงได้รับคำตอบโยนให้เป็นเรื่องของกกต. โดยที่คงลืมไปว่าตัวเองนั้นสวมหัวโขนผู้ดูแลความมั่นคงของรัฐบาลและคสช. กิจกรรมเช่นนี้แม้จะไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง แต่คำสั่งของคสช.ที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้นผิดแน่นอน
เว้นเสียแต่ว่า รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะยืนยันว่าจากนี้ไปการรวมตัวกันในลักษณะนี้จะไม่ผิดกฎหมายดังกล่าวอีกต่อไป เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานให้กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางต่อไป และฝ่ายเผด็จการก็จะไม่ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเลือกปฏิบัติหรือสองมาตรฐาน
พฤติกรรมดังกล่าวคงอย่างที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน เคยโชว์ความได้ใจก่อนหน้านั้น ขอบคุณที่บิ๊กป้อมเข้าใจและให้โอกาสกลุ่มของตัวเองได้เคลื่อนไหว พร้อม ๆ กับเรียกร้องให้นักการเมืองคนอื่น ๆ ลาออกจากความเป็นสมาชิกพรรคจะได้เดินสายเหมือนตัวเองได้ หากผู้มีอำนาจยังไม่เข้าใจอีกว่าด้วยเหตุผลใดปัญหาความขัดแย้งจึงแก้ไม่ได้ กรณีของสามมิตรเป็นสิ่งที่อธิบายเครื่องหมายคำถามทั้งหมดได้
ตราบใดก็ตาม ที่ยังเกิดการเลือกที่รักมักที่ชัง หรือฝ่ายกุมอำนาจยังคงปล่อยให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองกันอย่างน่าเกลียด เมื่อนั้นก็ยากที่จะทำให้ทุกคนทุกฝ่ายปรองดองกันได้ การกล่าวหานักการเมืองคือตัวสร้างปัญหาก่อนหน้านั้นจะหมดไปในทันที ในเมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมานักการเมืองขยับตัวไม่ได้ แต่ความแตกแยกยังไม่หมดไปนั่นย่อมหมายความว่า กรรมการที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้เล่น คือตัวสร้างปัญหานั่นเอง
ขณะที่ตัวผู้นำเองก็แสดงบทเดิม ปล่อยมุกเก่า ไม่ว่าเวทีใดก็จะพูดแต่เรื่องเลือกตั้ง เลือกแบบเดิมได้แบบเดิม ขนาดเด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้มาพบซึ่งส่วนใหญ่อายุ 18 ปี ก็ยังไม่วายหยอดประเด็นนี้ในระหว่างการให้โอวาทอีกต่างหาก แล้วเช่นนี้จะไม่ให้คนคิดว่าเป็นการหาเสียงได้อย่างไร เพราะทุกท่วงทำนองมันส่อไปในทางชิงความได้เปรียบ ชี้นำ ชักจูงให้ประชาชนเห็นคุณงามความดีของตัวเองตลอดเวลา
ส่วนฟากของเสนาบดีที่เตรียมจะไปนั่งกุมบังเหียนพรรคการเมือง ก็พบปะหารือหัวเรือใหญ่กันถี่ยิบ โดยใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่พบปะ ซึ่งมันง่ายต่อการที่จะอ้างว่าเป็นการมาถกกันเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อมีคนบางคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในรัฐบาลและหน้าคุ้น ๆ ว่าเป็นนักการเมืองใหญ่ คงจะมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการมาสุมหัวกันเรื่องพรรคการเมือง
ต้องไม่ลืมว่า คสช.อนุญาตให้พลังประชารัฐจัดประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคได้แล้วในวันที่ 15 กันยายนนี้ ใช้สถานที่อิมแพค เมืองทองธานี ก็น่าจะเป็นตัวบ่งบอกว่างานวันนั้นจะยิ่งใหญ่ อลังการแค่ไหน ส่วนบุคคลเป้าหมายในรัฐบาลคสช. แม้จะไม่ได้ลาออกจากเก้าอี้ฝ่ายบริหาร แต่ก็ไม่มีปัญหาหากที่ประชุมเสนอชื่อให้เป็นผู้นำพรรค เพราะทุกอย่างมันสามารถสร้างวาทกรรมมาอธิบายเพื่อให้ประชาชนเชื่อและเข้าใจได้