BSM บวกแรง7% สูงสุดในรอบ 7 เดือน คาดเก็งฯแผนธุรกิจเด่น ลุ้นรายได้-กำไรปีนี้นิวไฮ

BSM บวกแรง7% สูงสุดในรอบ 7 เดือน คาดเก็งฯแผนธุรกิจเด่น ลุ้นรายได้-กำไรปีนี้นิวไฮ โดย ณ เวลา 11.34 น.ราคาอยู่ที่ระดับ 0.77 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 6.94% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.05 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM  ณ เวลา 11.34 น.อยู่ที่ที่ระดับ 0.77 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 6.94% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.05 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งแรงในรอบ 7 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นขึ้นไปทดสอบระดับ 0.77 บาท เมื่อวันที่ 2 ก.พ.61

อนึ่งก่อนหน้านี้นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะทำสถิติสูงสุด (new high) ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยเชื่อว่ารายได้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ระดับ 800 ล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 599.84 ล้านบาท หลังยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวสูงขึ้นกว่าเป้า ขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปีแรกทำได้แล้วกว่า 29.77 ล้านบาทใกล้เคียงกับกำไรทั้งปี 60 ที่ทำได้ 35.54 ล้านบาท

บริษัทยังเชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรกจากสินค้าขายได้มากขึ้น อีกทั้งบริษัทยังเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโครงการปรับปรุงสำนักงาน โครงการคอนโดมิเนียม และโรงพยาบาล โดยจะเน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นตราสินค้าของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากมีอัตรากำไรสูง โดยสินค้าแบรนด์ของบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 25-40% สูงกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าแบรนด์อื่น ๆ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 5-10%

บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในไตรมาส 3/61 ซึ่งเป็นสินค้าประเภทประตูบานเลื่อนพับเก็บได้ ใช้ในอาคารสำนักงานและโรงแรมเพื่อแบ่งห้องประชุม ซึ่งจะวางจำหน่ายในเดือนก.ย.61 คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ออกแบบ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากสินค้าแบรนด์ตัวเอง 60% และรายได้จากการเป็นตัวแทนจำหน่าย 40%

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากบริษัทย่อย ทีค ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดขายโครงการอยู่แล้ว 2 โครงการ และในไตรมาส 4/61 บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการใหม่คือ เดอะทีค รัชดา คอนโดมิเนียม Low rise 7 ชั้น จำนวน 78 ยูนิต มูลค่า 380 ล้านบาท ราคาต่อห้องราว 3-4 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณรัชดาซอย 19 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT รัชดาภิเษก

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 โครงการ ได้แก่ 1.) โครงการเดอะ ทีค สุขุมวิท 39 อยู่ระหว่างการเร่งก่อสร้างเพื่อส่งมอบให้ทันในช่วงไตรมาส 4/61 และ 2.) โครงการเดอะทีค สาทร-ลุมพินี มียอดขายพรีเซลล์แล้วกว่า 50% คาดว่าจะเริ่มโอนในไตรมาส 3-4/62 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตเพื่อเริ่มสร้างโครงการร โดยคาดว่าจะสามารถสร้างได้ภายในปลายปีนี้

ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมกว่า 1 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอโอนจากธุรกิจวัสดุก่อสร้างราว 500 ล้านบาท จากลูกค้ารายย่อยในโครงการขนาดเล็กที่ติดตามอยู่กว่า 900 โครงการ ในงานตกแต่งภายในและงานปรับปรุงสำนักงาน คอนโดมิเนียม และโรงพยาบาล คาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วง 1-2 ปีนี้ และยอดขายรอโอนจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ราว 500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 จนถึงปี 62

นายสัญชัย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเป็น 50% ในปี 62 จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% โดยบริษัทมีแผนทยอยเปิดโครงการใหม่ทุกไตรมาส มูลค่าเฉลี่ยโครงการละ 400 ล้านบาท โดยในปี 62 บริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการรองรับแล้วกว่า 50% เน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียม Low rise ขนาด 7-8 ชั้น กลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าวัยทำงานและประชากรในชุมชน และเน้นทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าในรัศมี 1 กิโลเมตร เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินราวปีละ 1 พันล้านบาทสำหรับที่ดิน 4-5 แปลงตามแผนการเปิดโครงการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งด้วย ขณะที่บริษัทมีการใช้งบในการทำการตลาดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่มาก เนื่องจากเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยบริษัทเน้นการทำการตลาดออนไลน์ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและมีประสิทธิภาพสูงมาก

นายสัญชัย กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนขยายไปในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (recurring income) เบื้องต้นมองเป็นธุรกิจโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขนาด 200-300 ยูนิต โดยบริษัทมีความสนใจการลงทุนแบบการเข้าซื้อกิจการ (Takeover) ซึ่งบริษัทมีแหล่งเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุน โดยใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้สถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำที่ระดับ 0.8 เท่า

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมากขึ้นจากปัจจุบันมีฐานลูกค้าหลักในประเทศอินเดียซึ่งทำการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยบริษัทสนใจขยายไปยังกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 15-20%

Back to top button