หุ้นเดือด การเมืองดุ
หุ้นขึ้นแบบ “เบรค เอ๊าท์” ปรับจากความซบเซามาสู่ความคึกคัก และดัชนีปรับตัวเดินหน้ามาตั้งแต่วันพฤหัสฯ สัปดาห์ก่อนที่หุ้นขึ้นวันเดียว 38 จุด ก็เกิดมาจากกระแส “อีเลคชั่น เอฟเฟคท์” ผลักดันนั่นแหละ
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
หุ้นขึ้นแบบ “เบรค เอ๊าท์” ปรับจากความซบเซามาสู่ความคึกคัก และดัชนีปรับตัวเดินหน้ามาตั้งแต่วันพฤหัสฯ สัปดาห์ก่อนที่หุ้นขึ้นวันเดียว 38 จุด ก็เกิดมาจากกระแส “อีเลคชั่น เอฟเฟคท์” ผลักดันนั่นแหละ
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เอาเข้าจริงก็ไม่เป็นที่น่าตื่นกลัวเหมือนตอนเริ่มต้นใหม่ ๆ สักเท่าไหร่แล้ว เพราะเชื่อว่าสหรัฐฯ คงทำได้แค่ “คำขู่” ประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และจีนก็ไม่หวาดกลัวกับคำขู่นั้นด้วย
การ “เบรค เอ๊าท์” ออกจากมุมอับของตลาดหุ้นไทยเที่ยวนี้ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่า เงินทุนจะไหลออกจากตลาดเสียด้วย เพราะเงินบาทในช่วงนี้แข็งค่าขึ้นมามาก จากระดับ 32.75 บาท/ดอลลาร์เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. มาสู่ระดับ 32.37 บาทในปัจจุบัน
ณ ถึงเวลานี้ ดัชนีตลาด ไม่น่าจะปรับลงต่ำระดับ 1,700 จุดอีกแล้ว มีหุ้นพื้นฐานดีที่ราคายังไม่แพงมากนักให้เลือกช้อปกันได้ตามสมควรจำนวนหนึ่ง
ตลาดหุ้นออกจาก “มุมอับ” เที่ยวนี้มาได้ ก็เพราะความแน่ชัดว่าจะมีการเลือกตั้งแน่นอนแล้ว จากการประกาศพ.ร.ป. (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ) 2 ฉบับ คือการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. ก็แสดงว่า การเลือกตั้งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ฉะนั้น ยังไงก็ต้องลุ้นเชียร์ให้มีเลือกตั้งตามหมุดหมายปลายก.พ.ปีหน้าให้ได้ จะแก่อ่อนเกินเลยไปนิดหน่อยก็คงไม่ว่ากัน แต่ถ้าเลื่อนออกไปเป็นปีอีกนี่สิ ตลาดหุ้นคงแหลกลาญอย่างไม่ต้องสงสัย
คิดว่า ใครเป็นรัฐบาล ก็คงไม่อยากเห็นตลาดหุ้นแหลกลาญก่อนการเลือกตั้ง การเมืองหลังมีสัญญาณชัดการเลือกตั้ง ก็ชักจะมีสีสันเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา อย่าได้มองว่าจะก่อความวุ่นวายจนเป็นเหตุให้มีใครออกมาบอกว่า ต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก
ฝ่ายรัฐบาลก็เป็นธรรมดาล่ะครับ จะโดนโจมตีมากหน่อย ก็เพราะคณะปกครองเวลานี้ มีเป้าหมายจะครองอำนาจต่อ ไม่เหมือนคณะรัฐประหารรายอื่น ที่เข้ามาแค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว แล้วรีบให้มีการเลือกตั้งเพื่อส่งไม้ต่อให้รัฐบาลพลเรือน
วาทะดุเดือดที่เห็นกันยามนี้ก็คือ คู่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ตั้งคำถามมาก่อนว่า
12 ปีแห่งการรัฐประหารสมัยบิ๊กบัง ประเทศไทยมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ และเรียกร้องทุกฝ่ายหันมาพูดคุยเจรจาปรองดอง
ฝ่ายบิ๊กป้อมก็สวนกลับทันควันเข้าให้ว่า “บ้านเมืองยุ่งอยู่ทุกวันนี้ เพราะใคร? เอาคดีตัวเองให้รอดก่อน!!”
ทว่าภายหลัง ฝ่ายทักษิณตอกกลับด้วยวาจารื่นหู ไม่ก้าวร้าว แถมติดลูกอ้อนหน่อย ๆ ด้วยว่า
“ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ. เลย”
ก็อย่างว่าล่ะครับ เป็นสีสันการเมืองที่ยากจะหาแห่งหนใดเสมอเหมือน ส่วนใครคือผู้ชนะในการวิวาทะครั้งนี้ คงต้องปล่อยเป็นเรื่องมุมมองของแต่ละฝ่าย ไปยุ่งมากมันจะไม่ดี!!
งานนี้ใครตอกใคร ใครโดนตอก จะหงายหน้าหงายหลังล้มตึงกันอย่างไรคงไม่ใช่สาระนัก ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่สีสันประเภทนี้แหละ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้น
เสมือนเป็นตัวสะท้อนว่า กิจกรรมทางการเมืองเริ่มกลับมาเข้มข้นคึกคัก อย่างเอาจริงเอาจัง และยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสที่จะเกิดเซอร์ไพรส์เชิงลบต่อกำหนดการเลือกตั้งมีลดน้อยลงไปด้วย
วานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นทะลุผ่านแนวต้าน 1,760 จุดขึ้นมาได้ระลอกหนึ่ง ก่อนถูกเทขายทำกำไรจนลงมาปิดที่ 1,752.11 จุด บวกไป 2.31 จุด หรือขึ้นไป 0.13% ด้วยมูลค่า 6.76 หมื่นล้านบาท
ถือเป็นมูลค่าการซื้อขายไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าเฉลี่ยต่อวัน นับตั้งแต่ต้นปีที่ราว 6.02 หมื่นล้านบาท
ฉะนั้น ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เกิดขึ้นภายในบ้านเราเองอยู่ในเกณฑ์ดีเช่นนี้ อย่าว่าแต่แนวต้าน 1,760 จุด ที่ว่ามีการขึ้นไปทดสอบเลย…
หากสามารถรักษาบรรยากาศให้ดีได้เยี่ยงนี้ต่อไป จะพูดถึง 1,800 จุด 1,900 จุด หรือกระทั่ง 2,000 จุด คงไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้ออย่างแน่นอน
สำคัญคือ ใครอย่าไปถือสาสีสันการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ จนกลายเป็นเหตุอ้างให้ต้องหาเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง จนกระทบตลาดหุ้นที่กำลังดีวันดีคืนก็แล้วกัน!!
เอาตาม “ตู่” ว่า…ใครได้เสียงข้างมาก ก็ตั้งรัฐบาล ตั้งนายกฯ ไป……………….ตามนั้น!!!