PM เด้งเกือบ 4% แรงสุดรอบ 1 เดือน หลังเตรียมส่ง “ทาโร่” บุกตลาดจีนสิ้นปีนี้
PM เด้งเกือบ 4% แรงสุดรอบ 1 เดือน หลังเตรียมส่ง "ทาโร่" บุกตลาดจีนสิ้นปีนี้ โดยปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ 9.20 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 3.95% สูงสุดที่ 9.30 บาท ต่ำสุดที่ 8.85 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 73.54 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PM ปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ 9.20 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 3.95% สูงสุดที่ 9.30 บาท ต่ำสุดที่ 8.85 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 73.54 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 9.30 บาท เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61
นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่ม PM เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคในจีน โดยคาดว่าในเดือน ต.ค.จะได้ข้อสรุป เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ “ทาโร่” ไปวางจำหน่ายในจีน โดยเฉพาะในเมืองกวางโจ และ เซี่ยงไฮ้ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในสิ้นปีนี้
“บริษัทยังไม่ได้วางแผน หรือ ตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโตทางด้านยอดขายจากจีนเท่าไหร่ เนื่องจากปัจจุบันยอดขายทาโร่ในไทยมีสัดส่วนสูงถึง 90% แต่หากรวมยอดขายต่างประเทศที่มาจากบริษัทย่อยจะมีสัดส่วนที่ 20% หรือ ประมาณ 400 ล้านบาท” นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขาย “ทาโร่” ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าตลาดรวมขนมขบเคี้ยวที่ผลิตจากปลา ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกตลาดดังกล่าวเติบโตไปแล้ว 10.1% จากตลาดรวมขนมขบเคี้ยวทั้งหมดที่เติบโตได้ 6.3% และเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ
“ครึ่งปีแรกยอดขายของเราโตไปแล้ว 3.9% โดยปีนี้เรามั่นใจว่าจะโตไม่ต่ำกว่าตลาด ซึ่งตลาดขนมคบเคี้ยวครึ่งปีแรกโตแล้ว 6.3% แต่ถ้าเป็นขนมคบเคี้ยวที่ทำมาจากปลาครึ่งปีแรกโตไปแล้ว 10.1% จากครึ่งปีก่อนหดตัวไป 8%” นายวิเชียร กล่าว
โดยในครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายรวม 2,170 ล้านบาท สัดส่วนหลักมาจากยอดขายทาโร่ประมาณ 40-50% แต่หากคิดในแง่ของกำไร สินค้า”ทาโร่”จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 80% ของกำไรทั้งหมด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตเองจะมีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงกว่าสินค้าที่นำมาจัดจำหน่าย
สำหรับงบลงทุนในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายตลาดจีน ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 500 ตัน/เดือน จะเพิ่มเป็น 560 ตัน/เดือน ซึ่งจะใช้งบทั้งสิ้น 37 ล้านบาท และ คาดว่าจะเดินเครื่องผลิตได้ไตรมาส 1/62
นอกจากนี้ นายวิเชียร ยังเปิดเผยอีกว่า กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ยังไม่มีแผนที่จะแยกธุรกิจอสังหาและโรงแรม เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ต้องใช้เงินลงทุนที่สูงด้วยเพื่อสร้างการเติบโต มีวัฎจักรขึ้นลง และ มีความผันผวน
ขณะที่ปัจจุบัน กลุ่มพรีเมียร์ มี 4 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบด้วย บมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM), บมจ.พรีเมียร์ เทคโนโลยี (PT), บมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE) และ บมจ.พรีเมียร์ โพรดักส์ (PPP) ขณะที่อีก 2 บริษัทในเครือยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อย่างไรก็ตาม นายวิเชียร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมี 6 ธุรกิจ ประกอบด้วย สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค,สายธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ,สายงานพัฒนาความยั่งยืนของสังคม,สายธุรกิจบริการทางการเงิน,สายธุรกิจสิ่งแวดล้อม และ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม