เก็บหุ้นรับส้มหล่น!
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2561 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวพุ่งไปปิดที่ระดับ 1,744.42 จุด บวกไป 26.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 79,655.82 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอบรับจากปัจจัยภายในประเทศล้วน ๆ
เส้นทางนักลงทุน
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2561 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวพุ่งไปปิดที่ระดับ 1,744.42 จุด บวกไป 26.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 79,655.82 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอบรับจากปัจจัยภายในประเทศล้วน ๆ
นั่นก็คือ การเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น หลัง กกต.ได้เห็นชอบระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว คาดเสร็จภายใน 60 วัน เพื่อให้พรรคการเมืองคัดเลือกผู้สมัคร เชื่อเลือกตั้งได้ 24 ก.พ. 2562
นอกจากนี้มีประเด็นบวกเมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการซื้อสินค้าส่วนหนึ่งคืนให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยเพื่อเพิ่มอำนาจการจับจ่ายใช้สอยและเพื่อการออม
แม้ว่าจะยังมีปัจจัยภายนอกยังกดดันอยู่โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน….โดยภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผล 24 ก.ย. 2561 ในอัตรา 10% และปีหน้าจะเก็บภาษี 25% ซึ่งจากนี้ไปก็ต้องจับตาดูว่าจีนจะมีการตอบโต้อย่างไรบ้าง ?…และการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังคุยกันได้ต่อหรือไม่ !?…
ดังนั้นปัจจัยบวก-ลบดังกล่าว เปรียบดังปัจจัยทางจิวิทยาที่ยังต้องติดตามต่อไปในช่วงระยะสั้นนี้…เนื่องจากมีผลต่อตลาดหุ้นไทย !!!
ดังนั้นยังคงคาดการณ์ว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ต่อไปในกรอบแนวรับ 1,700-1,710 จุด และกรอบแนวต้านที่ 1,750-1,780 จุด จึงยังคงแนะนำให้หาจังหวะ Trading ขึ้นขาย-ลงซื้อ ตามกรอบ แนวต้าน-แนวรับ ต่อไปเช่นเดิม
เนื่องจากความเสี่ยงขาลงของตลาดยังคงถูกประคับประคองจากการที่สภาพคล่องในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงและการที่ประเทศไทยถือเป็นแหล่งหลบภัยที่สำคัญ เวลาเกิดเหตุการณ์ความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ
ทั้งนี้ มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจตามแต่ลักษณะพอร์ตการลงทุนดังต่อไปนี้
สำหรับพอร์ตการลงทุนประเภทเก็งกำไร รวมถึง ทยอยลงทุนระยะยาว แนะนำกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการ EEC ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์เชิง Sentiment จากความเชื่อมั่นการลงทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่มีความชัดเจนของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ช้า ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้น
อีกทั้งราคาหุ้นทั้งสองบริษัทยังคงมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าไปไล่ซื้อเก็งกำไร อย่าง AMATA ราคาเป้าหมาย 26 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 22.70 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 14.54% ขณะที่ WHA ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 4.28 จะคงเหลืออัพไซด์ 9.81%
ประกอบกับเมื่อการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น การดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์มาก ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC, บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC
อีกทั้งราคาหุ้นก็ยังมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไร อย่าง CK ราคาเป้าหมาย 34 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 27.75 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 22.52% ส่วน STEC ราคาเป้าหมาย 27 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 24.90 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 8.43% ขณะที่ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 8.90 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 17.98% และ SCC ราคาเป้าหมาย 510 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 448 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 13.84%
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อที่จะปล่อยให้กลุ่มเอกชนเพื่อการลงทุน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
อีกทั้งราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไร อย่าง SCB ราคาเป้าหมาย 152 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 141 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 7.80% ขณะที่ KBANK ราคาเป้าหมาย 237 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 216 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 9.72% และ BBL ราคาเป้าหมาย 235 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 213 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 10.33%
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เมื่อมีการเลือกตั้งต้องมีการลงคะแนนเสียง ซึ่งหุ้นที่ได้รับประโยชน์ทางตรง คือ บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS เนื่องจากเป็นผู้พิมพ์บัตรเลือกตั้งนั่นเอง ที่สำคัญราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรอีกเพียบ โดยราคาเป้าหมาย 14.70 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 11.50 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 27.83%
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มค้าปลีกก็น่าลงทุน เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากที่ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการซื้อสินค้าส่วนหนึ่งคืนให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยเพื่อเพิ่มอำนาจการจับจ่ายใช้สอย ได้แก่ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS และ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP
อีกทั้งทางราคาหุ้นดังกล่าวก็ยังคงมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไร อย่าง HMPRO ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 15 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 16.67% ขณะที่ CPALL ราคาเป้าหมาย 80.50 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 68.50 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 17.52%
ขณะเดียวกัน ROBINS ราคาเป้าหมาย 83 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 69 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 20.29% นอกจากนี้ BJC ราคาเป้าหมาย 64 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 18 ก.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 59.50 บาท จะคงเหลืออัพไซด์ 7.56% ส่วน TNP ปรากฏว่าทางนักวิเคราะห์ยังไม่มีการคำนวณราคาเป้าหมายออกมา แต่อย่างไรก็ตามยอดขายยังเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ทั้งนั้นหุ้นดังกล่าวเป็นเพียงการคาดการณ์ทางจิตวิทยาว่าได้รับส้มหล่นจากประเด็นการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับรับอานิสงส์จากมติอนุมัติมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการซื้อสินค้านั่นเอง !!!